ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
ผู้เขียน | วงค์ ตาวัน |
เผยแพร่ |
เหตุการณ์คนร้ายลอบยิงรถอดีตนายตำรวจคนดังเมื่อต้นเดือนมกราคม จากนั้นก็มีการขยายวงไปสู่เรื่องอื่นๆ ทำให้ผู้รอบรู้วงการสีกากีทุกฝ่ายชี้ตรงกันว่าเป็นปรากฏการณ์คลื่นใต้น้ำ ส่งผลเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร.อีกครั้ง
“ท้าทายช่วงเวลา 9 เดือนสุดท้ายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่กำลังจะสร้างสถิติเป็น ผบ.ตร.ครบกึ่งทศวรรษ”
แต่ไม่ทันไร เกิดคดีปล้นร้านทองฆ่าคนตายถึง 3 คน บาดเจ็บอีก 4 ราย ในค่ำวันที่ 9 มกราคม ที่ลพบุรี
เป็นคดีใหญ่สะเทือนขวัญประชาชน เพราะไม่เคยมีการปล้นทองครั้งไหนที่คนร้ายจะต้องมาไล่ยิงคนจนเจ็บ-ตายกลางห้างสรรพสินค้าเช่นนี้ แถม 1 ในผู้เสียชีวิตอย่างน่าสลด เป็นเด็กชายวัย 2 ขวบอีกด้วย
“พล.ต.อ.จักรทิพย์นำทีมนายตำรวจมือสืบสวนปราบปรามลงคลี่คลายคดีเอง เพราะเป็นคดีที่คนทั้งสังคมเรียกร้องให้จับตัวคนร้ายมาให้ได้ เรียกร้องถึงขั้นให้จับตายด้วยซ้ำ”
ถือเป็นคดีใหญ่ที่กดดันตำรวจ ถ้าจับไม่ได้คงเสียหายยับเยินแน่
ผบ.ตร.จึงต้องลงมาคุมคดีเอง พร้อมทีมนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.ที่เป็นมือสืบสวนปราบปรามโชกโชน ทั้ง พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข
ดึงมือสืบสวนจากกองสืบสวนนครบาล ที่ได้ชื่อเรื่องงานสืบสวนไฮเทค
แถมยังเรียกตัว พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภาค 9 พร้อมเครื่องมือพิเศษที่ใช้ในการคลี่คลายคดีความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมาเสริมอีกด้วย
หลังใช้เวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ก็สามารถจับกุมคนร้ายได้
“ทำให้สังคมต้องตกตะลึง เพราะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน แต่ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ทันทีเช่นกันว่า คนที่มีสถานะระดับนี้ คงไม่สามารถไปจับมั่วๆ เพื่อเอามาเป็นแพะได้!!”
พร้อมกับสะท้อนให้เห็นว่า การคลำตัวไปถึงผู้ก่อเหตุที่อยู่ในวงการที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
พอรู้ว่าคนร้ายเป็นคนในวงการครู ก็ยิ่งน่าหวาดเสียวว่า โอกาสจะสืบสวนไปไม่ถึงย่อมมีอยู่มากขึ้นไปอีก
แต่ตำรวจก็ทำได้ จับกุมได้แม่นยำ พร้อมพยานหลักฐานที่ชัดเจน โดยผู้ต้องหาก็รับสารภาพโดยดี
“จึงกลายเป็นผลงานชิ้นสำคัญอีกครั้งของตำรวจในยุคบิ๊กแป๊ะ”
ยิ่งเมื่อ ผบ.ตร.ลงไปบัญชาการวางแผนคลี่คลายคดีเอง ก็ย่อมได้รับเครดิตไปเต็มๆ
เป็นผลงานการันตีความมั่นคงของเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้อย่างดี พร้อมทั้งสยบคลื่นใต้น้ำที่เพิ่งก่อตัว ให้สลายไปในทันทีอีกด้วย!
นายประสิทธิชัย เขาแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นคนร้ายปล้นทองฆ่าคนตายถึง 3 คน ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่อยู่ในแฟ้มประวัติอาชญากรของตำรวจ บ่งบอกได้ว่าเป็นคดีที่เริ่มต้นการสืบสวนสอบสวนอย่างยากเย็นมากๆ
ไม่สามารถควานหาข่าวในหมู่อาชญากรสายนี้ได้
ด้วยประสบการณ์จากการเติบโตมาในสายงานสืบสวนของ พล.ต.อ.จักรทิพย์และอีก 3 รอง ผบ.ตร. จึงให้ระดมแกะรอยจากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ และที่ปรากฏพบจากกล้องวงจรปิด
“เสื้อผ้า รองเท้า รอยเท้าที่ประทับบนตู้ทอง หยดเหงื่อ อาวุธปืนที่มีลักษณะพิเศษ ตามจากลำกล้องเก็บเสียง รถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้”
หากลุ่มคนที่เล่นปืนชนิดนี้ หาโรงกลึงที่ผลิตลำกล้องเก็บเสียง
ไล่กล้องวงจรปิดในวันเกิดเหตุ เส้นทางของคนร้ายไปทางไหน
“รวมทั้งเก็บภาพจากกล้องวงจรปิดภายในห้าง ย้อนหลังไปก่อนเกิดเหตุ ด้วยเชื่อว่าคนร้ายจะต้องมาดูลาดเลาวางแผนก่อน และต้องมาแบบคนปกติ ไม่มีหมวกไอ้โม่งปิดบังคลุมหน้า ประสานเข้ากับการใช้เทคโนโลยีไฮเทคในการแกะรอย”
ราว 7 วันสุดท้ายก่อนลงมือจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มเห็นตัวผู้ก่อเหตุแล้วว่าเป็นใคร แต่ยังลงมือใดๆ ไม่ได้ เพราะเป็นคนระดับนี้ ต้องชาญฉลาด ปกปิดระมัดระวังพยานหลักฐาน อาจจะทำลายทิ้งไปแล้วบางส่วน
ตำรวจจึงต้องหาพยานหลักฐานประกอบให้ชัดเจนก่อน ไปจนถึงต้องติดตามให้ได้ว่า หลังก่อเหตุแล้วเคลื่อนไหวไปไหนบ้าง อาจจะนำของกลางไปเก็บซ่อนที่ไหนได้บ้าง
“ระหว่างนั้นเอง พล.ต.อ.จักรทิพย์ใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ ออกข่าวแบบสับขาหลอก เช่น บอกว่าตามล่าคนร้ายไปถึงชายแดนแล้ว!?”
เพื่อให้คนร้ายตัวจริงที่ตำรวจรู้ว่ายังใช้ชีวิตปกติอยู่ในพื้นที่ วางตัวนิ่งไม่ได้หลบหนีไปไหน จะได้ตายใจ คล้ายกับว่าตำรวจติดตามผิดคนไปไกลแล้ว
เพื่อประวิงเวลาระหว่างกำลังคลำหาพยานหลักฐานมัดตัวเพิ่มเติม
จนกระทั่งการตรวจสอบอาวุธปืนและลำกล้องเก็บเสียงได้ผลชัดเจน การแกะรอยจากกล้องวงจรปิดย้อนหลัง การใช้เทคโนโลยีติดตามตัวปรากฏร่องรอยชัด
“จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลเพื่ออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาระดับ ผอ.โรงเรียน และจู่โจมจับกุมแบบไม่ทันตั้งตัว จึงได้ตัวโดยละม่อม พร้อมคำรับสารภาพโดยดี”
ทำให้ประชาชนทั่วไปได้โล่งอกโล่งใจว่าคนร้ายปล้นทองที่จู่ๆ ก็ยิงคนล้มเกลื่อนกลาดโดนจับกุมได้แล้ว พร้อมพยานหลักฐาน และหลายอย่างชี้ได้ทันทีว่าไม่ใช่แพะ
เพราะถ้ายังลอยนวลอยู่ ย่อมไม่รู้ว่าจะโผล่มายิงคนเกลื่อนห้างอีกเมื่อไร
ปิดคดีได้ภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ ก็ช่วยให้สายตาประชาชนมองตำรวจในทางที่ดีขึ้น จากที่เริ่มด่าก็เปลี่ยนเป็นเสียงชื่นชม
โดยปกติแล้ว คนร้ายที่เข้าปล้นชิงทอง หรือแม้แต่ปล้นธนาคาร ส่วนใหญ่ก็แค่ถือปืนขู่บังคับ ใช้ปืนปลอมก็มีบ่อยๆ เพราะรู้ดีว่า ถ้าไม่มีตำรวจนั่งเฝ้า แค่เป็นเจ้าหน้าที่ รปภ. ย่อมไม่มีการชักปืนยิงต่อสู้
“อีกทั้งการกระทำผิดชิงทรัพย์นั้น ไม่ควรจะเพิ่มความผิดเพิ่มข้อหาให้ตัวเองให้รุนแรงมากขึ้น ด้วยการยิงคนให้เจ็บหรือตาย”
ดังนั้น การที่คนร้ายปล้นทองในห้างโรบินสัน ลพบุรี เดินเข้ามาถึงก็ยิงเจ้าหน้าที่ รปภ. แล้วกระสุนก็แฉลบไปโดนเด็ก 2 ขวบตายอย่างน่าสลด ก่อนจะเข้าไปจ่อยิงลูกค้าซื้อทอง 2 คน ตามด้วยยิงใส่พนักงานสาวร้านทองจนตายไปอีก 1 เจ็บอีก 1
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการยิงเจ้าหน้าที่ รปภ.ที่วิ่งมาปิดประตูหน้าห้างจนเสียชีวิต
“ทั้งหมดนี้เป็นการยิงที่ดูจากวงจรปิดเห็นชัดว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะต้องยิง เพราะไม่มีการใช้อาวุธใดๆ มาต่อสู้”
แถมน่าคิดว่าทำไมจึงเอาทองในร้านไปแค่ถาดเดียว ทั้งที่น่าจะกวาดไปมากกว่านั้น
“นี่จึงไม่ใช่โจรที่ต้องการหาเงินตามปกติ แต่ต้องมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง หรือไม่ก็ต้องเข้าขั้นมีอาการหมกมุ่นเลียนแบบคิดซับซ้อนอะไรบางอย่าง!?”
ถือเป็นโจรที่มีความซับซ้อน แต่สุดท้ายตำรวจก็สามารถคลี่คลายคดีได้ จับกุมได้ มีพยานหลักฐานเป็นวิทยาศาสตร์รองรับ
ถ้าจับไม่ได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติคงตกอยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่า โดนกันตั้งแต่ ผบ.ตร.ลงไป
แต่เมื่อจับได้และตัวตนชัดเจนไม่ใช่แพะ
สถานการณ์ย่อมพลิกกลับ ตำรวจได้ดอกไม้แทนก้อนอิฐ
โดยเฉพาะ ผบ.ตร.ที่นำทีมลงไปประชุมเอง วางแผนคลี่คลายคดีเอง ก็ได้ทั้งเสียงชื่นชม
รวมทั้งได้ความมั่นคงแข็งแกร่งของเก้าอี้ ผบ.ตร.ไปในตัว!