เกษียร เตชะพีระ | “รัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย-สันติวิธี” (ตอนต้น)

เกษียร เตชะพีระ

บ่ายวันที่ 16 ธันวาคม ศกก่อน ผมเข้าฟังการอภิปรายที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคตรัฐธรรมนูญไทย” ได้ข้อมูล ความรู้และข้อคิดวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์มากมายจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านรัฐศาสตร์ กฎหมายมหาชนและการเมืองการปกครองไทยทั้ง 4 ท่าน

ระหว่างนั่งฟัง ผมได้แรงบันดาลใจจากคำอภิปรายให้เกิดข้อคิดต่อเติมขึ้นมาบางประการ จึงใคร่ขอสังเขปประเด็นที่ผมคิดว่าอาจสำคัญและเป็นประโยชน์ในการนำไปลองใคร่ครวญต่อสำหรับผู้สนใจปัญหารัฐธรรมนูญ-ประชาธิปไตย-สันติวิธี ดังนี้ครับ :

1) กล่าวในทางประวัติศาสตร์ของยุโรปและอาจครอบคลุมรวมถึงกรณีไทยเราด้วยได้ รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือของคนชั้นกลางในการจำกัดอำนาจรัฐสัมบูรณาญาสิทธิ์ (ผมใช้คำว่า “คนชั้นกลาง” ในความหมายกลุ่มชนผู้มีฐานะช่วงกลางระหว่างผู้ปกครองเบื้องบนและคนชั้นล่างตามแต่บริบททางประวัติศาสตร์ของแต่ละสังคม)

คำว่า “จำกัด” หมายรวมถึงทั้งทำให้นิ่ง-คาดการณ์ได้-ถ่วงดุล-และควบคุมได้ด้วย

2) เมื่อคนชั้นกลางและนักคิดของพวกเขาโฆษณาป่าวร้องรัฐธรรมนูญ (หรือสัญญาประชาคมในทางทฤษฎีการเมือง) นั้น พวกเขาพูดโฆษณามากกว่าที่ให้จริงในทางปฏิบัติ (ในภาษาทฤษฎีการเมืองคือความตกห่างระหว่าง universal claims vs. cultural subtexts หรือ foundational beliefs vs. institutional arrangements)

กล่าวคือ มักนำเสนอหลักการมูลฐานที่เอื้ออำนวยสิทธิเสรีภาพให้แก่คนทุกคน แต่เอาเข้าจริงในระเบียบสถาบันการเมืองการปกครองของรัฐที่สร้างขึ้น สิทธิเสรีภาพดังกล่าวกลับตกอยู่แก่คนชั้นกลางเองมากกว่าคนชั้นอื่น

อย่างไรก็ตาม การพูดมากกว่าที่ให้จริงนี้ ได้สร้างความใฝ่ฝันและบรรทัดฐานที่ควรจะเป็นขึ้นในตัวแนวคิดรัฐธรรมนูญในแง่ระบบระเบียบอำนาจรัฐและสิทธิเสรีภาพเชิงอุดมคติ

เมื่อแนวคิดรัฐธรรมนูญ (constitutionalism) เข้ามาถึงสังคมไทย มันก็เผชิญกับวัฒนธรรมทางการเมืองไทยแบบสัมบูรณาญาสิทธิ์และอินทรียภาพแต่เดิม (traditional Thai absolutist and organicist political culture) และกลับตาลปัตรสมมุติฐานเรื่องอำนาจของวัฒนธรรมดังกล่าว ที่สำคัญได้แก่ :

ขณะสมมุติฐานไทยเดิมถือว่า “ปัจเจกบุคคลอยู่เพื่อรัฐ” แนวคิดรัฐธรรมนูญที่นำเข้ามากลับถือว่า “รัฐอยู่เพื่อปัจเจกบุคคล”

ขณะสมมุติฐานไทยเดิมถือว่า “อำนาจมาจากบนลงล่าง” แนวคิดรัฐธรรมนูญที่นำเข้ามากลับถือว่า “อำนาจมาจากล่างขึ้นบน”

การพลิกกลับตาลปัตรแนวคิดฐานรากดังกล่าว ทำให้ยากที่แนวคิดรัฐธรรมนูญจะหยั่งรากมั่นคงในสังคมไทย

3)กลุ่มชน/ชนชั้นที่กำลังรุ่งเรืองขึ้นจะอ้างตนพูดในนาม “ประชาชน” และนิยามตนเองเป็น “ประชาชน” เสมอ (เพราะพูดให้ถึงที่สุดในทางทฤษฎี “ประชาชน” เป็นสัญญะกลวงเปล่าหรือ empty signifier ที่รอให้พลังการเมืองต่างๆ เติมนิยามความหมายของมันลงในช่องว่างตามบริบททางประวัติศาสตร์)

4) วิถีดำเนินของการเมืองที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐธรรมนูญทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงเป็นบทสนทนาไม่รู้จักจบระหว่างผู้ที่ผลัดกันขึ้นมานิยามตนเองเป็น “ประชาชน” (ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามหลักรัฐธรรมนูญสมัยใหม่) กับผู้กุมอำนาจอธิปไตยตัวจริง

บทสนทนาดังกล่าวอาจใช้ถ้อยคำและข้อเขียนในการสื่อสารแลกเปลี่ยนสานเสวนาวิวาทะโดยสันติ หรือใช้กำลังและอาวุธตามแต่จะหาได้ก็เป็นได้ แล้วแต่กรณี

5)การลงท้องถนนเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ กับการใช้ความรุนแรง

ผมเห็นว่าการลงท้องถนนเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ กับการใช้ความรุนแรง มิจำต้องเกิดควบคู่กันเสมอไป เพราะหากเรายอมรับว่ามันต้องไปด้วยกัน และเราเองก็ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงแล้ว ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลืออยู่นอกจากยอมจำนน

การเปลี่ยนวิธีการต่อสู้จากการใช้กำลังรุนแรงเป็นสันติวิธี มิจำต้องหมายถึงการเปลี่ยนจุดยืนการต่อสู้ การต่อสู้ทางการเมืองสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยสันติวิธี ยิ่งกว่านั้นโดยหลักมูลฐานแล้ว สันติวิธีซื่อตรงคงมั่นต่อฐานรากที่แท้จริงของการเคารพยอมรับคุณค่าชีวิตของเพื่อนมนุษย์ว่ามีค่าเท่ากันมากกว่า มิควรที่ใครจะสละสังเวยชีวิตคนอื่นเพื่อหลักนามธรรมใดๆ ที่ตนยึดมั่นถือมั่น (There is no abstraction in the world that is worth taking other people”s lives for.)

อย่างไรก็ตาม การลงท้องถนนเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐโดยสันติวิธี (แม้จะมีตัวอย่างให้เห็นไม่น้อยในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การล้มระบอบอาณานิคมอังกฤษในอินเดีย การปฏิวัติล้มระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกหลายประเทศช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ต่อต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1990 การปฏิรูปประชาธิปไตยในชิลีและมาเลเซีย เป็นต้น) มิใช่ทำได้ง่ายๆ เพราะเดิมพันสูงระดับอำนาจรัฐ ผู้ปกครองที่กุมอำนาจรัฐไว้แต่เดิม ย่อมมิยอมสละอำนาจโดยง่าย อีกทั้งเครื่องมือกลไกแห่งความรุนแรงทั้งกฎหมายและอาวุธก็ผูกขาดสั่งสมอยู่ในมือผู้กุมอำนาจมากกว่า ง่ายที่จะหยิบออกมาใช้เล่นงานปราบปรามประชาชนผู้ลงถนนต่อสู้โดยสันติวิธี

ฉะนั้น การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐจึงจำต้องเข้าใจเนื้อแท้ของอำนาจรัฐ ดังที่แมกซ์ เวเบอร์ ปรมาจารย์วิชาสังคมศาสตร์ชาวเยอรมัน เสนอว่า “รัฐคือประชาคมของมนุษย์ที่อ้างสิทธิ์ผูกขาดเหนือการใช้กำลังทางกายภาพโดยชอบธรรมภายในอาณาเขตหนึ่งๆ” (ปาฐกถา “การเมืองในฐานะอาชีพ”, ค.ศ.1918)

การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐก็อาจมุ่งเป้าไปที่เชื้อมูลองค์ประกอบในคำนิยามข้างต้น ได้แก่ :

ก) การผูกขาดความรุนแรง โดยตั้งกองกำลังอาวุธต่างหากจากรัฐขึ้นมา เช่น กองทัพแดงของเหมาเจ๋อตง เพื่อบั่นทอนทำลายการผูกขาดดังกล่าว

ข) อาณาเขต โดยสร้างเขตปลดปล่อยนอกอำนาจรัฐเดิม เช่น ฐานที่มั่นเยนอานของเหมาฯ หรือแม้แต่เขตชุมนุมที่ปิดล้อมขัดขวาง ทำให้หน่วยงานรัฐเป็นอัมพาต สร้างภาวะรัฐล้มเหลวเฉพาะส่วนเฉพาะเขตขึ้นมา

ค) ความชอบธรรมของอำนาจรัฐ ในสายตาเพื่อนพลเมืองร่วมประเทศและในสายตาชาวโลก

กล่าวในแง่สันติวิธี การมุ่งเป้าใส่ความชอบธรรมมีความเป็นไปได้มากที่สุด เป้าหมายคือเปลี่ยนใจ เปลี่ยนท่าที เปลี่ยนความเห็นของผู้มีอาวุธและสาธารณชนคนดู ให้พวกเขาถูกกดดันจนไม่สามารถใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วงเพื่อปกป้องระเบียบอำนาจเก่าอีกต่อไป เพราะยอมรับว่ามันไม่ชอบธรรม

นี่ย่อมไม่ใช่มนต์คาถาที่จะประกันไม่ให้เกิดความรุนแรงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะจากฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐ ในกรณีนั้น การประท้วงต่อสู้โดยสันติวิธี คงทำได้แค่ “ทำให้ราคาทางการเมืองที่ผู้มีอำนาจต้องจ่ายให้กับทุกความรุนแรงที่ตนทำลงไปนั้นแพงที่สุด”