คุยกับทูต ‘ไบรอัน เดวิดสัน’ ก่อนอำลา สู่สถานทูตอังกฤษแห่งใหม่ ที่ทันสมัยกว่าบนถนนสาทร (จบ)

คุยกับทูต ไบรอัน เดวิดสัน ก่อนอำลาสู่สถานทูตอังกฤษแห่งใหม่ ที่ทันสมัยกว่าบนถนนสาทร (จบ)

เมื่อเข้าสู่ศักราชใหม่ 2020 เจ้าหน้าที่ทางการทูตและเจ้าหน้าที่ฝ่ายกงสุลประจำสถานทูตอังกฤษ ย่านเพลินจิต กรุงเทพฯ จะได้ฤกษ์โยกย้ายไปสู่ที่ทำการแห่งใหม่ ณ อาคารเอไอเอ ถนนสาทร ใจกลางย่านธุรกิจ

โดยจะยังคงมุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสหราชอาณาจักร และประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในด้านความมั่นคงและมั่งคั่ง

รวมทั้งยังจะดำเนินกิจการต่างๆ ของสหราชอาณาจักรในอาเซียนและในภูมิภาคต่อไป

มร.ไบรอัน เดวิดสัน (H.E. Mr. Brian Davidson) เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เล่าถึงความคืบหน้าของที่ทำการแห่งใหม่

“ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างตกแต่ง มีทั้งหมด 3 ชั้นในตึกเอไอเอ ที่สาทร”

“ผมคิดว่าเราน่าจะอยู่ชั้นที่ 11 ถึง 13 เราได้พื้นที่ที่ดีมากและอยู่ในอาคารที่ดี เหมาะกับการเป็นสถานที่ทำงาน ทั้งมีการสร้างให้มีบรรยากาศในการทำงานที่ดีสำหรับเจ้าหน้าที่”

“อีกทั้งยังมีพื้นที่สาธารณะที่เราได้รับอนุญาตให้จัดงานได้ เช่น งานเลี้ยงรับรอง และงานประชุมต่างๆ เหมือนดังที่เราเคยจัดที่สถานทูตเก่า ซึ่งสถานทูตแห่งใหม่นี้ได้ให้มีบรรยากาศในแบบฉบับของคนอังกฤษยุคใหม่”

“นอกจากนี้ ทำเนียบหรือที่พักแห่งใหม่ของเราจะอยู่ที่โฟร์ซีซั่นส์ ไพรเวท เรสซิเด้นซ์ (Four Seasons Private Residences) ริมแม่น้ำใกล้สะพานตากสิน เราได้ซื้ออพาร์ตเมนต์สองชั้น คือชั้นที่ 66-67 ที่นั่นสุดยอดจริงๆ มีวิวที่สวยงาม ตื่นตาตื่นใจมาก สามารถมองเห็นวิวกรุงเทพฯ โดยรอบทีเดียว และยังมีมุมดีๆ สำหรับห้องอาหารอีกด้วย”

“พวกเราได้จ้างดีไซเนอร์ชาวอังกฤษและซื้อเฟอร์นิเจอร์รวมถึงผ้าที่นำเข้าจากประเทศอังกฤษ อันเป็นแบบอังกฤษสมัยใหม่ และผมได้ติดต่อกับผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ที่สะสมงานศิลปะของรัฐบาล อีกทั้งยังได้ซื้องานศิลปะหนึ่งชิ้นจากจิตรกรชาวอังกฤษเพื่อสถานที่แห่งนี้โดยเฉพาะ และเรายังมีงานศิลปะอื่นๆ บนฝาผนังอีกด้วย ดังนั้น ที่นี่จะงดงามราวสวรรค์เลยทีเดียว โดยเฉพาะงานศิลปะของรัฐ จะสะท้อนให้เห็นค่านิยมของคนอังกฤษ ให้เห็นถึงงานศิลปะชั้นเยี่ยมและความคิดสร้างสรรค์ของคนอังกฤษ ซึ่งพวกเราได้งานยอดเยี่ยมชิ้นนี้มาไว้ที่นี่” ท่านทูตเดวิดสันกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

ภารกิจที่สำคัญที่สุดที่ต้องการทำให้สำเร็จระหว่างประจำประเทศไทย

“ในความเป็นจริง ภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การย้ายสถานทูต นับว่ามีน้อยมากที่ทูตคนหนึ่งจะเป็นคนเริ่มต้นโปรเจ็กต์และอยู่ต่อจนโปรเจ็กต์สำเร็จ ส่วนมากโดยทั่วไปทูตท่านอื่นจะเริ่มงาน และผมจะเป็นคนปิดโปรเจ็กต์”

“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะเดินทางมาถึงประเทศไทย ผมรู้เรื่องการจะขายที่ดินของสถานทูตเดิมที่เพลินจิต โดยเลขาฯ ที่ทำงานประจำบอกผมว่า สถานทูตประจำประเทศไทยต้องการให้ผมเข้ามาตั้งแต่เริ่มต้นที่คิดว่าจะขาย จนกระทั่งการขายสิ้นสุด และให้อยู่ต่อ เพื่อที่จะให้ช่วยหาบ้านพักใหม่ เตรียมบ้านพัก และดูแลการดำเนินงานของสถานทูต”

“ดังนั้น มันจึงไม่ใช่แค่การย้ายสิ่งของเท่านั้น แต่มันเป็นการจัดแจงในการใช้ประโยชน์จากสถานที่ใหม่ ใช้เทคโนโลยีใหม่ และการเปลี่ยนแนวความคิดในการให้บริการประชาชน อีกทั้งยังพยายามเปลี่ยนแนวความคิดในการทำงานในประเทศไทยให้มีความพยายามในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศไทยให้มากขึ้น ให้มีความทันสมัย เพื่อให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอีก”

“ดังนั้น เมื่อผมพูดถึงการย้ายสถานทูต มันก็เกี่ยวกับการพยายามเพิ่มจำนวนกิจกรรม และการมีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศอังกฤษ”

“เมื่อผมดำเนินการย้ายสถานทูตเสร็จ ผมหวังว่าจะเหลือเวลาประจำในประเทศไทยอีกประมาณ 1 ปี ซึ่งในช่วงเวลานั้น ผมจะเน้นเรื่องการมีส่วนร่วมในด้านพัฒนากับประเทศไทย เพื่อเราจะได้มีโอกาสทิ้งอดีตอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลัง อันเป็นพื้นฐานที่เรากำลังมุ่งหน้าพัฒนาต่อไปตั้งแต่ปีก่อนๆ ด้วยความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ของเรา ซึ่งนี่ก็คือแนวคิดหลักที่เราจะเริ่ม และเราสามารถเพิ่มความคาดหวังและวิสัยทัศน์ของเราได้ นี่คือสิ่งที่เราสามารถเก็บไปคิดสำหรับปีสุดท้ายที่ผมจะประจำที่นี่ และนี่คือเหตุผลที่ทำไมผมจึงมองว่า การย้ายสถานทูตเป็นภารกิจที่สำคัญ เพราะไม่ใช่เพียงการเคลื่อนย้ายสิ่งของ หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลง”

“ซึ่งผมหวังว่า มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของชาวอังกฤษที่มีต่อประเทศไทยและอาเซียน เพื่อให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับประเทศไทย และผมคิดว่า พวกเราก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพราะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนใหม่ นายโดมินิก ราบ (Dominic Raab) ซึ่งดำรงตำแหน่งเพียงสองสัปดาห์ ได้ตัดสินใจเดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอย่างกะทันหัน เพราะท่านทราบว่า อาเซียนและประเทศไทยมีความสำคัญเป็นอย่างมาก พวกเราได้เชิญนายกรัฐมนตรีของเรามาเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน แต่ท่านติดการเลือกตั้งภายในประเทศ จึงไม่สามารถเดินทางมาได้”

“ผมคิดว่าประชาชนชาวอังกฤษตระหนักได้ว่า ภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ควรเข้ามาลงทุน ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ ดังนั้น พวกเราควรจะต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย”

“ฉะนั้น มันไม่ใช่แค่การย้ายสถานทูตเท่านั้น แต่เป็นการคิดว่า เราจะผลักดันอย่างไรให้บริษัทของประเทศอังกฤษเข้ามาทำธุรกิจที่ประเทศไทย และให้นักศึกษาอังกฤษมาเรียนที่ไทย หรือให้นักศึกษาไทยไปเรียนที่อังกฤษ”

“อีกทั้งยังเกี่ยวกับการคิดว่า ควรจะทำอย่างไรให้นักวิทยาศาสตร์และนักคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ระหว่างประเทศไทยและอังกฤษได้ทำงานร่วมกัน เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เพื่อนำไปแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขและภูมิอากาศ”

“ดังนั้น ผมจึงจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้การย้ายสถานทูตในครั้งนี้ประสบความสำเร็จ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงจุดมุ่งหมายของประเทศอังกฤษ เปลี่ยนให้มีความกระตือรือร้นมากขึ้น มีความทะเยอทะยานมากขึ้น และมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่เช่นนั้น ก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ทางธุรกิจเท่านั้น ไม่ใช่พันธมิตรอย่างแท้จริง แต่เป็นการสร้างสัมพันธมิตรต่อกันเพื่อหาแนวทางในการทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยเหลือกันและกัน อีกทั้งเพื่อช่วยเหลือภูมิภาคและโลกของเรา”

“ซึ่งผมคิดว่า เรามีโอกาสที่น่าตื่นเต้นมากในตอนนี้ ที่จะส่งมอบและพัฒนาความร่วมมือกับประเทศไทย เพราะเราเห็นความท้าทายมากมายในลักษณะเดียวกัน และจากการที่ประเทศไทยรับตำแหน่งประธานอาเซียน ทำให้เราได้เข้าใจถึงสิ่งที่ประเทศไทยดำเนินการในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความยั่งยืน”

“ผมจึงเชื่อว่า นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราสามารถทำงานร่วมกันได้มากขึ้นอย่างแน่นอนผ่านประธานอาเซียนในอันดับต่อไป”

“ผมอยากฝากข้อความถึงผู้อ่านและคนไทยทั่วไปว่า ประเทศอังกฤษและประเทศไทยมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน เราเป็นพันธมิตรที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะทำให้ประเทศของเราดียิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อให้สภาพแวดล้อมของทวีปและโลกของเราดียิ่งขึ้น สำหรับทุกคน”

“ดังนั้น เราไม่ต้องการเป็นเพียงพันธมิตรในด้านการค้าและการลงทุนเท่านั้น แต่พวกเราอยากเป็นพันธมิตรกับประเทศไทยในด้านความรู้และการพัฒนาด้วย อยากทำงานร่วมกับประเทศไทยในด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมใหม่ๆ อยากทำงานร่วมกับสถาบัน โรงเรียน และกระทรวงต่างๆ เพื่อสร้างแนวทางในการแก้ไขปัญหาโลก”

“พวกเรามีโอกาสที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมากในการพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศไทย เนื่องจากเรามองเห็นปัญหาไปในทางเดียวกันกับประเทศไทย และผมคิดว่า เราน่าจะได้ประโยชน์ที่ได้มุมมองจากคนข้างในอาเซียน ซึ่งก็คือการที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน เพื่อที่จะดูว่าประเทศไทยมีแนวทางในการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนอย่างไร ผมคิดว่า นั่นคือสิ่งที่เราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแน่นอนระหว่างที่ประเทศไทยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน”

“เรามีนโยบายมากมายเกี่ยวกับการลักลอบซื้อขายสัตว์ป่าและการค้ามนุษย์ เราได้ยินเรื่องราวที่ประเทศไทยได้มีบทบาทในเรื่องนี้อย่างจริงจังเช่นกัน แต่ประเทศไทยจะสามารถมีบทบาทมากยิ่งขึ้นถ้าหากเราทำงานร่วมกัน พวกเราสามารถเพิ่มขีดจำกัดความสามารถและเป็นกระบอกเสียงให้แก่กันได้”

เมื่อขอให้ท่านทูตเล่าเรื่องของเด็กๆ ก่อนจบการสนทนา ท่านทูตยิ้มแย้มแล้วตอบว่า

“อันที่จริง ผมชอบพูดถึงลูกๆ เสมอนะ”

“เรามีลูกสามคนที่กำลังน่ารัก คนโตคือ เด็กชายเอลเลียต (Elliot) ซึ่งเดี๋ยวนี้อายุสามขวบครึ่งแล้ว มีลูกสาวคนเดียวอายุสองขวบกว่าชื่อเอสมา (Esmae) ส่วนหนูน้อยเอริก (Eric) ลูกชายก็เพิ่ง 9 เดือนเท่านั้น”

“พวกเขายอดเยี่ยมมาก มีงานให้เราทำมาก แต่ก็สนุกมาก และเพราะลูกๆ คือสิ่งที่ผมรอคอยที่จะได้กลับบ้านในตอนเย็น ทำให้เรารู้สึกว่า ทุกอย่างที่เราทำนั้นคุ้มค่า เพราะผมกำลังทำงานเพื่อทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เพียงแต่ในแง่ของการได้รับเงินเดือนและการเป็นพ่อที่ดี แต่จริงๆ แล้ว ผมคิดว่ามีความแตกต่างที่เราสามารถทำได้ในฐานะประเทศและบุคคลสาธารณะ คือ การพยายามจัดการกับความท้าทายที่พวกเขาจะต้องเผชิญเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น”

“มันฟังดูซ้ำซากเมื่อผมพูดว่า ถ้าผมสามารถทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา ไม่ว่าจะในแง่ของความอดทนต่อมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องของเพศและเพศวิถี หากผมสามารถทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นในแง่ของอากาศที่พวกเขาหายใจ หรือน้ำที่พวกเขาดื่ม ถ้าผมสามารถทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นด้วยการลดความรุนแรงลงและมีความปลอดภัยมากขึ้น ถ้าผมสามารถมีส่วนทำสิ่งเหล่านี้ได้บ้างจากการที่ผมทำงานกับรัฐบาลอังกฤษและจากงานที่ผมทำกับประเทศไทย นั่นก็นับว่าสุดยอดแล้ว”

“และสำหรับที่บ้าน ผมสามารถทำให้ดีที่สุด เพื่อที่จะเป็นพ่อที่ดีที่สุดที่ผมจะสามารถเป็นเพื่อพวกเขาได้ เพื่อมอบความรักและให้การสนับสนุนเมื่อพวกเขาต้องการ เพื่อให้พวกเขาสามารถเติบโตในแบบที่พวกเขาต้องการ และสามารถเพิ่มศักยภาพด้วยตัวของพวกเขาเอง”

“ดังนั้น ในทุกสิ่งที่ผมทำ ผมคิดว่า ผมกำลังทำสิ่งเหล่านี้เพื่อลูกๆ ของผม และผมมั่นใจว่า ทุกคนก็เหมือนกัน เราทำทุกอย่างเพื่อลูกหลานของเรา เพื่อให้มั่นใจว่า พวกเขาจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นไปกว่าชีวิตที่เรามีในปัจจุบัน”