ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์
DOLITTLE
‘สื่อสารกับสัตว์’
กำกับการแสดง /Stephen Gaghan
นำแสดง Robert Downey Jr. Antonio Banderas Michael Sheen Jim Broadbent Harry Collet
Dolittle มีที่มาจากชุดหนังสือเกี่ยวกับ ดร.ดูลิตเติล เขียนโดยฮิวจ์ ลอฟติ้ง เกี่ยวกับแพทย์ที่รักสัตว์และสามารถสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดทุกตัวได้ และเรื่องราวการผจญภัยสนุกสนานต่างๆ นานาในโลกกว้าง
หนังสือที่ลอฟติ้งเขียนไว้มีร่วมสิบเล่ม โดยที่ผู้เขียนเล่าว่า มีจุดเริ่มต้นจากการที่เขาไปเป็นทหารสู้รบอยู่ในสมรภูมิของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ระหว่างนั่งประจำการอยู่ในสนามเพลาะ ก็เขียนจดหมายถึงครอบครัวทางบ้านไปพลาง แต่ไม่รู้จะเขียนถึงความรู้สึกและประสบการณ์ในสงครามให้ลูกฟังอย่างไรดี เพราะเขารู้สึกว่าความเป็นไปในสนามรบถ้าไม่ใช่เรื่องน่ากลัวก็เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย
เขาก็เลยใช้จินตนาการสร้างสรรค์นิยายเกี่ยวกับหมอที่พูดภาษาสัตว์ได้ ส่งเป็นจดหมายไปให้ลูกอ่านเล่นเพลินๆ
ผู้เขียนเคยดูหนังเรื่อง Dr. Dolittle (1967) หนแรกตอนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ประสบการณ์ดูหนังยังมีไม่มากนัก ตอนนั้นเร็กซ์ แฮร์ริสัน เล่นเป็นพระเอก แต่ก็ถือเป็นพระเอกในวัยเหลาเหย่แล้วสำหรับเด็กเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็หลังจากได้เห็นเขาเล่นเป็นโปรเฟสเซอร์ฮิกกินส์ในเรื่อง My Fair Lady มาแล้วเมื่อสองปีก่อนหน้า
ความทรงจำสำหรับ Dr. Dolittle ที่ยังหลงเหลืออยู่คือเป็นมิวสิเคิลที่ดูเหมือนพระเอกร้องเพลงไม่เป็นเลย สมัยที่เร็กซ์เล่นบทโปรเฟสเซอร์ฮิกกินส์ นักแต่งเพลงก็ต้องพยายามแต่งเพลงที่เขาร้องให้เปล่งเสียงเป็นคำพูดมากกว่าเป็นทำนองสำหรับร้องให้เพราะพริ้งเสนาะหู
อีกอย่างคือสัตว์พูดได้ในหนังมีมากมาย ใหญ่น้อยและหลากสีสันจนจำไม่ได้สักตัว
ครั้นมาใน ค.ศ.1998 นักแสดงตลกผิวหมึก เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ก็มารับบทบาทเป็นหมอที่พูดภาษาสัตว์ได้ และยังมีภาคต่อมาในอีกสามปีให้หลัง
แต่ก็ไม่ใช่หนังที่ตรึงตราในความทรงจำอีกนั่นแหละ จำอะไรๆ ได้เพียงวอบแวบวอมแวม ยึดถือเป็นแก่นสารไม่ค่อยได้
ถึงปีนี้ ดร.ดูลิตเติล มาในฟอร์มใหญ่ ดาราคับจอ ทั้งออกหน้าและให้เสียง โดยได้มาในรูปของมิวสิเคิล
แรงดึงดูดสำคัญน่าจะมาจากโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ซึ่งเพิ่งจะเซย์กู๊ดบายจากบทบาทซูเปอร์ฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่และตราตรึงที่สุดคนหนึ่งของทีมอเวนเจอร์แห่งจักรวาลมาร์เวล คือ ไอออนแมน
โทนี่ สตาร์ก/ไอออนแมนเสียชีวิตไปอย่างน่าจดจำในภาคล่าสุดของ Avengers : Endgame ที่พรากซูเปอร์ฮีโร่ในดวงใจไปเสียหลายต่อหลายคน เหมือนจะเป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่งอเวนเจอร์
Dolittle ใช้แรงดึงดูดจากแคแร็กเตอร์ของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ มาเป็นจุดขายสำคัญ ตามมาด้วยนักแสดงระดับแนวหน้าอีกมากหน้าหลายตา เช่น อันโทนิโอ แบนเดราส ไมเคิล ชีน และจิม บรอดเบนต์
แถมยังมีนักแสดงชื่อดังที่ไม่ได้ออกมาปรากฏหน้าให้เห็นตัว แต่มาเป็นเสียงพากย์สำหรับสัตว์หลากชนิด อาทิ เรฟ ไฟน์ส เอ็มมา ธอมป์สัน เรมี มาลิก ออคเทเวีย สเปนเซอร์ ทอม ฮอลแลนด์ ฯลฯ
หนังเริ่มอย่างน่ารักด้วยการเล่าเรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้าด้วยภาพวาด ที่เล่าเรื่องราวของ ดร.ดูลิตเติล และภรรยาคู่ใจ ที่ชอบการท่องไปในโลกกว้างเหมือนกัน ก่อนที่ภรรยาของเขาจะเสียชีวิตไปกลางมหาสมุทร
ดูลิตเติลเศร้าโศกจนต้องถอนตัวจากโลกทั้งโลก เข้าไปอยู่เบื้องหลังกำแพงที่เขาสร้างเป็นเกราะกำบังตัวเองไว้ ไม่อยากเจอหน้ามนุษย์ หรือสร้างมิตรภาพใหม่ๆ เผื่อว่าจะไม่ต้องเผชิญกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง
วันๆ ก็พูดคุยอยู่กับสัตว์นานาพันธุ์ที่รายล้อมรอบตัว อาทิ โยชิ หมีขั้วโลก (เสียงของจอห์น เซนา) โพลีเนเชียน นกแก้ว (เสียงของเอมมา ธอมป์สัน) ชี-ชี กอริลลา (เรมี มาลิก) และ แด็บ-แด็บ เป็ด (ออคเทเวีย สเปนเซอร์) เป็นต้น
โลกทั้งโลกของดูลิตเติล ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งสัตว์ป่าใหญ่น้อย กำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อเด็กชายชื่อ ทอมมี่ สตับบินส์ (แฮร์รี่ คอลเล็ต) นำสัตว์บาดเจ็บจากกระสุนที่เขาเป็นคนยิงไปหาหมอเพื่อช่วยให้รอดชีวิต
ขณะที่ดูลิตเติลปฏิเสธไม่ยอมรับแขก ไม่ยอมพบหน้ามนุษย์คนใดในโลกอีกแล้ว
ในวันเวลาเดียวกัน เลดี้โรส เด็กหญิงผู้สูงศักดิ์จากในวัง ก็ดั้นด้นมาหาดูลิตเติลเพื่อตามตัวไปถวายการรักษาพระอาการป่วยของพระราชินีวิกตอเรีย ซึ่งทรงมีบัญชาให้ตามตัวเขาไปเข้าเฝ้า
ทอมมี่และเลดี้โรส ไม่ยอมรับคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของดูลิตเติล แต่ยึดคติว่าตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก
และการตื๊อของทั้งสองก็ส่งผล คือทำให้ดูลิตเติลยอมอ่อนข้อลง
เพียงด้วยเหตุผลที่ว่าอาณาจักรสัตว์ที่ดูลิตเติลสร้างขึ้นกำลังถูกคุกคามอย่างร้ายแรงหากพระราชินีสวรรคตไป ดูลิตเติลจึงยอมขยับตัวออกจากบ้านอันแสนสุขที่ไม่มีมนุษย์เข้ามารบกวนเขา
ยกโขยงเข้าวังไปพร้อมกับฝูงสัตว์ในอาณัติที่สร้างความโกลาหลวุ่นวายและทะเลาะเบาะแว้งกันไปตลอดทาง
พระราชินีประทับบนแท่นบรรทม แทบไม่มีพระสติอยู่กับวรกาย และการตรวจพระอาการเบื้องต้นด้วยความช่วยเหลือของสุนัขที่ดมกลิ่นผิดปกติและบอกดูลิตเติลได้ว่าพระราชินีได้รับพิษบางอย่างเข้าไปในพระองค์
เพียงต้องหายาถอนพิษจากต้นไม้หายากที่อยู่กลางมหาสมุทรไกลโพ้น ให้ทันการก่อนที่พิษจะพรากพระชนม์ชีพไป
ในการนี้ดูลิตเติลต้องเดินทางฝ่าคลื่นลมไปในมหาสมุทรสุดขอบโลก เช่นเดียวกับภรรรยาของเขาที่จากไปตลอดกาล
แต่ก็ใช่ว่าการเดินทางของเขาจะราบรื่นสะดวกดาย ด้วยว่าผู้ร้ายในเรื่องก็ออกเดินทางไปเพื่อขัดขวางเขาในทุกวิถีทาง แต่ดูลิตเติลก็ได้รับความช่วยเหลือจากสัตว์ใหญ่ใต้ทะเลที่เขาพูดจากันรู้เรื่อง
เรือสับปะรังเคไร้สมรรถนะของเขาจึงถูกลากจูงแล่นฉิวเอาชนะคู่ต่อสู้ไปด้วยพลังการลากจูงจากวาฬยักษ์ในท้องทะเล
และเขาจำต้องก้าวกลับไปกระตุกหนวดเสือของราชาโจรสลัด ชื่อ ราซูลี (อันโทนิโอ แบนเดราส) ที่ประกาศจองล้างจองผลาญเขาไว้จากการที่เขาพรากเอาธิดาสาวสุดที่รักไปจากอ้อมอกพ่อ
แถมดูลิตเติลยังโดนจับเข้าไปขังในกรงเดียวกับแบร์รี่ เสือลายพาดกลอนตัวโต (เสียงของเรฟ ไฟน์ส) ที่เคยมีปัญหาคาใจอยู่กับดูลิตเติลมาก่อน
ฉากที่ดูลิตเติลเจอเสือลายพาดกลอนนี้ มีอยู่ในเทรลเลอร์ด้วยนะคะ แต่การตัดต่อไม่เหมือนกันอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ในหนังตัวอย่าง ดูลิตเติลกล่าวทักอย่างระแวงระไวกับเสือตัวโตที่กำลังเยื้องย่างสามขุมเข้ามาในที่คุมขังว่า “ฮัลโหล แบร์รี่” และเสือทักตอบว่า “ฮัลโหล อาหารกลางวัน”
แต่ทำไมในหนัง ประโยคนี้ถึงได้ขาดหายไปก็ไม่รู้ เป็นมุขเด็ดชวนหนาวเยือกถึงขั้วหัวใจแก่คนที่สื่อสารรู้เรื่องกับสัตว์เชียวนะคะนี่
การผจญภัยแบบในโลกของโจรสลัดยังคงมีต่อเนื่องไป และหนังพาเราไปถึงเกาะสวรรค์หรืออีเดนที่มีต้นไม้วิเศษรักษาได้ทุกโรคอีกต่างหาก แต่ก่อนที่ดูลิตเติลจะฝ่าด่านอันตรายนานาที่ขวางกั้น อันมีมังกรพ่นไฟ เป็นอาทิ
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่านิยายสำหรับเด็กแบบนี้เรื่องราวจะลงเอยยังไง
ขอบอกเพียงแต่ว่าหนังและการเดินเรื่องทั้งหมดดูวุ่นวายสับสนอลหม่านพิลึก
ดูเหมือนองค์ประกอบที่ใส่เข้ามามากมายนั้นดูไร้ทิศทางและขาดความจับใจในแคแร็กเตอร์ของใครสักคนหรือสักตัวเดียว
บางครั้ง “น้อยดีกว่ามาก” (Less is more) อาจเป็นปรัชญาที่เข้าท่ากว่าจริงๆ ก็ได้นะคะ