ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ช่วยถอดสลักชนวนความขัดแย้งในสังคมไทย เพราะถึงแม้ฉายาคดีคือ “อิลลูมินาติ” จะทำให้คดีถูกมองว่าไร้สาระ แต่เนื้อแท้ของคดีคือข้อหาว่าอนาคตใหม่ล้มล้างระบอบการปกครองเพราะเป็นฝ่าย “ปฏิกษัตริย์นิยม” ไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าพฤติกรรมของพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ก่อตั้งจนปัจจุบันนั้นไม่มีเหตุให้สงสัยเรื่อง “ล้มระบอบ” แม้แต่นิดเดียว ส.ส.พรรคทำหน้าที่ด้านกฎหมายและตรวจสอบฝ่ายบริหารตามครรลองของพรรคการเมืองอย่างครบถ้วน ข้อหาเรื่อง “ล้มระบอบ” จึงมาจากการปลุกปั่นของคนบางกลุ่ม ไม่ใช่มาจากความเป็นจริง
ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องอนาคตใหม่ “ล้มระบอบ” และ “ปฏิกษัตริย์นิยม” ที่ถูกปลุกปั่นจนฟุ้งกระจายในสังคม คำตัดสินไม่ยุบอนาคตใหม่คือการตีแสกหน้าคนกลุ่มต่างๆ ที่โจมตีอนาคตใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเครือเนชั่น, หมอวรงค์, หมอเหรียญทอง, ส.ว.ลิ่วล้อ หรือพรรคกำนัน
จริงอยู่ว่าคนกลุ่มที่โจมตีอนาคตใหม่เกือบทั้งหมดล้วนเป็นขาประจำหน้าเก่าๆ ซึ่งแทบไม่เหลือความน่าเชื่อถือในสังคม แต่คนกลุ่มนี้เป็น “นอมินี่” หรือตัวแทนของชนชั้นนำที่มีอำนาจโดยไม่ต้องพึ่งความยอมรับของสังคมอีกจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นทหารการเมืองในกองทัพ, เครือข่ายประยุทธ์ หรือแก๊งลุง
แม้คนกลุ่มนี้จะไม่กล้าโจมตีอนาคตใหม่ตรงๆ อย่างลิ่วล้อที่มีคนฟังน้อยแต่กล้าแสดงออกมากไม่กี่คน แต่คำพูดประเภท “ฮ่องเต้ซินโดรม”, “ซ้ายจัดดัดจริต” , “พร็อกซี่ไครซิส” หรือ “ชังชาติ” คือสัญญาณว่าผู้มีอำนาจคิดอย่างไรกับอนาคตใหม่ รวมทั้งต้องการให้อนาคตใหม่มีชะตากรรมอย่างไร
ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายว่าการตัดสินใจไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นเพราะพรรคไม่ปรากฎพฤติกรรมล้มการปกครองหรือเป็น “ปฏิกษัตริย์นิยม” คำแถลงของอาจารย์ “ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ” แทนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนจึงเป็นคำประกาศอย่างเป็นทางการว่าอนาคตใหม่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องเหลวไหลสิ้นเชิง
ถ้าถือว่าคดีนี้เป็นคดี “อิลลูมินาติ” การยกฟ้องก็เป็นแค่การโยนทิ้งคดีโง่ๆ ซึ่งไม่มีช่องทางให้เอาผิดอนาคตใหม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่ถ้าตระหนักว่าที่จริงคดีนี้คือข้อกล่าวหาเรื่อง “ล้มระบอบ” และ “ปฏิกษัตริย์นิยม” คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้ก็มีนัยยะของการตีแสกหน้าขบวนการปลุกระดมอย่างรุนแรงเหลือเกิน
ในคำแถลงที่อาจารย์ทวีเกียรติอ่านแทนองค์คณะตุลาการทุกคน ข้อหาเรื่อง “ล้มระบอบ” และ “ปฏิกษัตริย์นิยม” เป็นเพียงความวิตกกังวลเท่านั้น พูดภาษาชาวบ้านคือศาลบอกว่าผู้ยื่นคำร้องยุบอนาคตใหม่อย่างคุณณฐพร “มโน” เรื่องนี้ไปเอง ต่อให้จะเคยเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของอดีตผู้ตรวจการแผ่นดินก็ตาม
แม้คุณณฐพรจะยื่นคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ด้วยตัวเอง แต่ที่จริงสาระในคำร้องของคุณณฐพรเป็นการสรุปรวบยอดคำโจมตีของคนกลุ่มที่ต่อต้านอนาคตใหม่ในช่วงที่ผ่านมาแทบทั้งหมด คำตัดสินของศาลจึงเป็นการบอกอยู่กลายๆ ว่าการโจมตีแบบนี้ไม่มีน้ำหนักพอจะถือว่าอนาคตใหม่ “ล้มระบอบ”อย่างที่พูดกัน
ที่ผ่านมานั้นคนบางกลุ่มโจมตีว่าศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินเรื่องต่างๆ โดยมี “ธง” หรือ “ใบสั่ง” จากผู้มีอำนาจทั้งทางทหารและการเมือง คำตัดสินไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่กลายเป็นเรื่องที่คนแบบนี้ฉลาดหลังเหตุการณ์ว่าอนาคตใหม่ไม่มีทางโดนยุบตั้งแต่ต้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรแบบนี้เลย
ด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การโจมตีอนาคตใหม่ว่า “ล้มระบอบ” หรือ “ปฏิกษัตริย์นิยม” ผ่านสื่อนักการเมือง และกลุ่มการเมืองควรยุติไปด้วย เพราะคุณณฐพรยื่นยุบอนาคตใหม่ด้วยทุกเรื่องที่คนเหล่านี้ปลุกปั่น แต่ในทางกฎหมาย ทั้งหมดนี้คือความกังวลซึ่งไม่ได้หมายความว่าอนาคตใหม่้เป็นแบบนั้นจริงๆ
อนาคตใหม่เป็นพรรคที่พูดหลายเรื่องซึ่งดู “ห้าวเป้ง” ส่วนสมาชิกก็ทำบางเรื่องซึ่งชวนให้คนบางกลุ่มหมั่นไส้จนยัดข้อหาว่าพรรคเป็น “เสรีนิยมสุดขั้ว” หรือ “สังคมนิยม” แต่ที่จริงพรรคนี้ก็เหมือนพรรคอื่นที่มีทั้งคนดี-คนงี่เง่า-คนกลางๆ-คนสุดขั้ว จนเราไม่ควรสนใจความคิดในหัวเท่านโยบายของพรรคการเมือง
ธนาธรและปิยบุตรพูดหลายครั้งว่าอนาคตใหม่โดนหาเรื่องเพราะคนบางกลุ่มกลัวอนาคตใหม่กับความคิดแบบอนาคตใหม่มากเกินไป และปฏิกริยาของฝ่ายต่อต้านอนาคตใหม่ตั้งแต่ผู้นำกองทัพถึงลิ่วล้อก็ยืนยันว่าธนาธรกับปิยบุตรพูดถูกทั้งหมด จนในที่สุดเกิดการใช้เรื่อง “ล้มระบอบ” เป็นเครื่องมือทางการเมือง
อนาคตใหม่เป็นพรรคใหม่ที่ประสบความสำเร็จเกินคาดในการเลือกตั้งครั้งแรกจากหลายปัจจัย การที่พรรคหาเสียงด้วยความคิดใหม่ๆ และบุคลากรใหม่ๆ ทำให้พรรคโดดเด่นกว่าพรรคอื่นแน่ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคได้คะแนนหลายพื้นที่เพราะไทยรักษาชาติถูกยุบจนประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นด้วยเช่นกัน
อนาคตใหม่ชูความคิดใหม่ๆ แต่คะแนนเสียงที่เลือกอนาคตใหม่มาจากคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าผสมกัน “ชนชั้นนำ” อาจตระหนกว่าชัยชนะของอนาคตใหม่เป็นสัญลักษณ์ว่า “คนรุ่นใหม่” ไม่เอาสถาบันและความคิดเก่าๆ แต่ที่จริงเรื่องนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสาเหตุที่ทำให้อนาคตใหม่ได้ ส.ส.อย่างปัจจุบัน
สำหรับชนชั้นนำที่มีสติปัญญา ชัยชนะของอนาคตใหม่คือการสำแดงออกถึงความต้องการปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นโดยวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย ลดบทบาทกองทัพให้เป็นทหารอาชีพเหมือนกองทัพในอารยประเทศ กำหนดนโยบายประเทศจากประชาชน ฯลฯ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการ “ล้มระบอบ” แม้แต่นิดเดียว
พูดให้ถึงที่สุด ผู้มีอำนาจทางการเมืองและการทหารปลุกปั่นความรู้สึกว่า “อนาคตใหม่” เป็นพรรคที่ “ล้มระบอบ” เพราะระแวงอนาคตใหม่เหมือนระแวงนักวิชาการ, ประชาชน และพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งคิดเห็นแตกต่างจากผู้มีอำนาจ เพียงแต่อนาคตใหม่เป็นเป้าใหญ่เพราะมีจุดอ่อนให้โจมตีง่ายที่สุดเท่านั้นเอง
แกนนำอนาคตใหม่พูดถูกว่าอนาคตใหม่โดนโจมตีด้วยเหตุผลทางการเมือง ปัญหาคือการที่ผู้มีอำนาจปลุกปั่นเรื่อง “ล้มระบอบ” ทำให้สังคมไทยสับสนว่าประเทศนี้มีขบวนการ “ล้มระบอบ” ไปด้วย ทั้งที่โดยเนื้อแท้แล้วอนาคตใหม่หรือคนกลุ่มอื่นๆ แค่เห็นต่างจากผู้มีอำนาจเรื่องใครควรบริหารประเทศเท่านั้นเอง
อดีตนายกอภิสิทธิ์เคยพูดว่าพลเอกประยุทธ์จะเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมืองหลังปี 2562 และสภาพทั้งหมดในวันนี้ก็เป็นไปอย่างที่คุณอภิสิทธิ์พูดทั้งหมด การโจมตีที่ผู้มีอำนาจกระทำต่ออนาคตใหม่สะท้อนว่าผู้มีอำนาจคิดถึงตัวเองมากจนใช้เรื่องอ่อนไหวมากำจัดฝ่ายตรงข้าม ต่อให้เรื่องจะไม่มีมูลก็ตาม
ด้วยคำตัดสินไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่เพราะเรื่อง “ล้มระบอบ” และ “ปฏิกษัตริย์นิยม” ศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดประตูทางประวัติศาสตร์ให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ความเป็นสังคมปกติ คำตัดสินชวนให้สังคมตั้งสติว่าอนาคตใหม่ถูกโจมตีจากการปลุกปั่นของเครือข่ายทหารการเมืองที่หวงอำนาจมากกว่าจะทำอะไรผิดจริงๆ
ผู้มีอำนาจทุกคนล้วนปรารถนาจะรักษาอำนาจ แต่ผู้มีอำนาจที่ทรามที่สุดคือผู้มีอำนาจที่สร้างความแตกแยกในชาติเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อไปเรื่อยๆ อนุสสติจากศาลรัฐธรรมนูญคือคนไทยต้องหยุดยั้งการปลุกปั่นโดยผู้มีอำนาจ และเครือข่ายคุณประยุทธ์ต้องรักชาติจนเลิกตอกลิ่มคนในชาติเพื่อสืบทอดอำนาจทหารการเมือง