การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันหลับใหลเมื่อใกล้จะเที่ยงวัน

แสงไฟจากสองฟากทางยังคงส่องสว่าง แต่ถนนก็ว่างโล่งไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเหลือเพียงความเงียบงัน

ขี้เหล้ากลุ่มสุดท้ายออกจากร้านไปแล้ว พร้อมกับทิ้งซากอาเจียนกองใหญ่ไว้ใกล้ที่ล้างจาน ชายร่างหนาส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ ออกคำสั่งให้รีบเก็บกวาดโดยเร็ว ขณะเมียก็บ่นพึมพำไม่ขาดปาก ดีที่นางเองก็หยิบนั่นยกนี่ ทำงานไม่หยุดมือเช่นเดียวกับคนอื่นๆ จนกระทั่งออกจากร้านไปด้วยรถยนต์คันใหญ่เสียงดังกระหึ่ม

ในร้านเหลือลูกจ้างอยู่กันประมาณสี่ราย ฉันยืนอยู่ใกล้ดอกมะลิเพื่อนใหม่

“เอาละ นอนกันเถอะ เดี๋ยวก็สว่างแล้ว”

“กี่โมงแล้วนี่”

“ตีสี่”

เมื่อยขา เมื่อยก้น จนแทบจะลากร่างไม่ไหว ความรู้สึกของฉันเป็นอย่างนั้น แม้จะเป็นการทำงานเพียงแค่คืนหนึ่งคืนเดียว แต่ก็ราวทำมาสักสามวัน

เพราะยิ่งดึก คนยิ่งเข้าร้านมาก ล้างถ้วยจานไม่เสร็จก็ต้องวิ่งออกมาช่วยยกอาหารด้วย หลังจากนั้น ก็ต้องอาศัยจังหวะทำสลับไปสลับมา ยิ่งคนเข้าร้านมาก บรรยากาศยิ่งกดดัน

ตัวหญิงชายนายจ้างก็ออกคำสั่งไม่หยุด เสียงตะหลิวกระทบกระทะโช้งเช้ง เปลวไฟแลบเลียฉี่ฉ่า เวลาผัดผักบุ้งไฟแดงยิ่งเห็นความเจิดจ้าของแสงไฟ กลิ่นควันคละคลุ้งอยู่ในร้านข้าวต้มข้างถนน

ยกเว้นคนมาดื่มกินแล้ว ลูกจ้างทุกคนทำงานแข่งเวลาทุกนาที

“อยู่กันถึงแบบนี้ทุกคืนเหรอ” ฉันถามออกไป

“จะให้อยู่ถึงเมื่อไหร่ละ! ก็ชื่อว่าร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ถามอะไรง่าวๆ!”

ฉันชะงักทันใด เหลียวไปมอง มีสายตาจงเกลียดจงชังจ้องอยู่ นั่นคืออะไร?

ฉันยังไม่ได้พูดคุยกับใครมากนัก นอกจากมะลิ แต่ก็รู้ว่าในร้านมีลูกจ้างสี่ห้าคน เป็นผู้ชายหนึ่ง แต่ลักษณะอ้อนแอ้นบอบบาง นอกจากนั้นเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น

คนที่แทรกเสียงมา ผิวขาว หน้ากลมรูปหัวใจ ไว้ผมบ๊อบสั้น ดูหน้าตาน่ารักไม่น้อย แต่ปากคอดูเราะร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

“อย่าไปตอบเขาเลย เขาอยู่มาก่อน” มะลิกระซิบ

“ชื่ออะไรเหรอ”

“นวล”

“หือ” ฉันอดเหลียวกลับไปดูอีกไม่ได้ คนอะไรชื่อต่างจากที่แสดงออกมานัก แต่เมื่อมองไป ตาคู่นั้นก็จ้องกลับมา ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดไป

นึกอยากเดินเข้าไปถามว่า เป็นบ้าบออะไร แต่ก็ข่มใจให้นิ่งเฉยเสีย

 

“เขาคงไม่พอใจ เฮียให้เธอไปรับโต๊ะแทน”

มะลิกระซิบเบาๆ ขณะที่เราเดินห่างจากคนอื่นๆ ออกมา

ใช่ว่าจะไกลนักหนา ยังอยู่ใต้หลังคาร้านข้าวต้มนั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ชักผ้าใบกันสาดลงมาปิดหน้าร้านหมดแล้ว

เสียงครืดคราดดังขึ้น มีคนลากโต๊ะมาต่อกัน

“เอ้า ช่วยกันหน่อย ของเรา” มะลิเรียก

ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจว่ากำลังจะทำอะไร จนกระทั่งเห็นคนอื่นๆ พากันขึ้นไปนอนเหยียดยาวบนโต๊ะที่เช็ดถูดีแล้ว

คำว่า มีที่พักให้ ก็คือให้นอนบนโต๊ะภายในร้าน หลังเก็บกวาด ชักผ้าใบกันสาดลง ไม่มีหมอน ไม่มีฟูกปูอันใด แต่คนงานเก่าดูจะมีผ้าห่มทุกคน เหมือนเพิ่งดึงออกมาจากซอกใดซอกหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่โลกเฉพาะของตน

รวมถึงคนผมบ๊อบ เห็นปีนขึ้นบนโต๊ะตัวในสุด แล้วชักผ้าคลุมครึ่งหน้า เงียบไป

“นอนกันยังงี้ทุกวันเหรอ” หันกลับมาถามมะลิ

เพราะมะลิตัวใหญ่ จึงต้องใช้โต๊ะมาต่อตามยาวถึงสองตัว แต่ตัวฉันพอจะนอนบนโต๊ะตัวเดียวได้

“เมื่อวานฉันก็นอนแบบนี้” มะลิตอบ

 

พื้นผิวของโต๊ะเยียบเย็น คงด้วยความหนาวที่เพิ่มมาอีกตอนหัวรุ่ง กับความกระด้างจากกระเบื้องที่ปูทับหน้า พาให้แขนขาสัมผัสความกระด้างมากขึ้น

นอนตะแคง แล้วเปลี่ยนเป็นนอนหงาย แต่ไม่ว่าท่าใด ไม่ลงตัวสักอย่างสำหรับฉัน

ขาฉันยาวเลยขอบโต๊ะ แล้วไม้ขอบโต๊ะก็เบียดส่วนน่อง แต่มองดูคนอื่นๆ ก็เห็นบ้างนอนชันเข่างอขา จึงรู้ว่าต้องตามสภาพไป

ไม่มีห้องส่วนตัวในที่นี้ ไม่มีแม้แต่ที่ที่จะเอนหลังนอนสนิทใจ ไม่มีความลับสำหรับช่วงการหลับสนิท เพราะได้ยินเสียงกรน เสียงกัดฟัน เสียงการครางเบาๆ อย่างคนละเมอ

แม้แต่มะลิที่นอนใกล้ๆ

ฉันพลิกตัวอยู่กระสับกระส่าย ใจนึกอยากให้ตัวเองหลับใหลไปเสีย แต่ยิ่งนอนนานกลับยิ่งตาแข็งมากกว่า

ไม่รู้กี่โมงกี่นาฬิกา อากาศก็ดูจะหนาวเย็นลงเรื่อยๆ จนต้องกอดตัวเองไว้แน่น

จนกระทั่งรู้สึกชาที่แขน เหน็บกินเข้าให้

 

“อะไรกันนักหนาวะ!”

เสียงตะโกนดังขึ้นในความเงียบ จนกระทั่งทุกคนผุดลุกตื่นกันหมด

ฉันลุกพรวดบ้าง พร้อมกับเห็นคนผมบ๊อบลุกนั่ง ในแสงสลัวจากไฟนีออนที่ลอดส่องเข้ามา แววตาดูเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“คนจะหลับจะนอน จะคูดๆ ยาดๆ ไปถึงไหน!”

“ใจเย็นนวล” คนอยู่ใกล้รีบปราม

มะลิลุกพรวดขึ้นบ้าง เหลียวซ้ายเหลียวขวา

“ก็คนมันนอนไม่หลับ” ฉันหันไปพูดกับมะลิ แต่รู้ว่าคำพูดย่อมต้องลอยไปถึงอีกหูหนึ่ง

เป็นเช่นนั้น คำตอบมาถึงทันควัน

“งั้นก็ไปนอนข้างนอกโน่นเลย ไป๊!”

นับหนึ่งถึงสิบ ฉันรู้ว่าตัวเองมาใหม่ คงยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ใช่งัวควายที่ใครนึกจะทำอะไรด้วยก็ทำได้ง่ายๆ

เพิ่งตัดเชือกเส้นหนึ่งออกไป ทำไมจะตัดเชือกเส้นอื่นอีกไม่ได้

“แค! จะทำอะไร” มะลิร้อง แต่ฉันก็ไม่ฟังเสียง

กระโดดลงโต๊ะ เดินแทรกตัวผ่านช่องว่างเข้าไป

 

ใบหน้าที่จ้องดูฉัน ก็เหมือนอีกหลายใบหน้าที่เคยผ่านพบ มีความเกลียดชังคั่งแค้น…แต่หล่อนโกรธแค้นฉันด้วยเรื่องอะไร

พอจำได้รางๆ ว่า เมื่อนายจ้างสั่งให้ฉันละมือจากกะละมังล้างถ้วย ให้ไปช่วยรับบิล พลางเดินเสิร์ฟอย่างคนอื่นๆ ก็มีบางคนเขม้นมองมา

ทว่าเราต่างล้วนเป็นลูกจ้างคนงาน ทำงานเหมือนๆ กัน

…ฉันนึกออกแล้ว คนผมบ๊อบนี้อยู่ในหน้าที่รับรายการอาหารก่อน แต่เมื่อนายจ้างเห็นฉันจดตัวหนังสือลงบิลแคล่วคล่อง จึงให้สลับหน้าที่กัน

เท่านั้นเองหรือ ที่คนคนนี้โกรธฉัน

เรื่องขี้หมาเท่านี้เอง?

“เธอจะทำอะไร!”

ผมบ๊อบไหวตัว ทำท่าจะกระโดดลงโต๊ะ แต่ฉันเอาตัวขวางไว้

ใช้มือกั้นอีก

“เธอมีปัญหากับฉันหรือ”

“อะไร!” ปลายเสียงมีความสั่นไหว ฉันจับได้ในทันที

ที่แท้ก็เก่งแต่ปาก พอจะเผชิญหน้าตรงๆ ก็เพียงลูกแมวลูกหมา

“อย่ามาอันธพาลแถวนี้นะ!” หากยังไม่วายขู่ฟ่อ

“ใครอันธพาล?” ฉันจ้องหน้ากลมนั้นอย่างตั้งใจ “ก็คนงานเหมือนกัน คนเหมือนกัน”

ฉันลงเสียงหนักอย่างตั้งใจ

“ใครหาเรื่องใครก่อน”

มะลิจ้ำเข้ามาทางข้างหลัง ชักแขนฉันอย่างหวาดๆ

“พอเถอะแค เดี๋ยวก็จะแจ้งแล้ว ขวายแล้วจะเสียงรถดังมาก ถ้าไม่ได้หลับ คืนนี้จะทำงานกันไม่ไหว”

ฉันจ้องหน้าเพื่อนร่วมงานใหม่นิ่ง แล้วเด็กสาวก็เป็นฝ่ายหลบตา

เดินกลับมาที่โต๊ะนอนตัวเก่า ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของหล่อนกับเพื่อนอีกคนเบาๆ แต่จับความไม่ได้

มะลิลดเสียงจนแทบแผ่ว บอกฉันว่า

“เธออย่าเพิ่งซ่าเลย เมื่อวานฉันก็โดนไปทีแล้วเหมือนกัน”

“โดนอะไร” ฉันถามทันควัน

“ไว้ค่อยเล่า” มะลิกระซิบตอบ

 

โลกเส็งเคร็งเฮงซวยใบนี้ จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลหรือไฉน ฉันปิดเปลือกตาลงพร้อมกับคำถามที่วิ่งวนอยู่ในหัวสมองอีกครั้งหนึ่ง

อีกครั้งหนึ่ง…ซึ่งต้องมาเจอกับสิ่งหาสาระไม่ได้

คนเราต้องวุ่นวายวกวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องเหล่านี้เท่านั้นหรือ

รัก ชัง หวัง ฝัน คลั่ง เกลียด เครียด บ้า อ่อนล้า เศร้า เหงา รำคาญ

อ้อ และทุกข์ ทรมาน เจ็บปวด เสียใจ

…ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งใด ก็ต้องแบกร่างกายเป็นสัมภาระเพื่อจะพบสิ่งเหล่านี้

เป็นอยู่อย่างนี้ วนไปวนมา จนกว่าจะถึงวันตาย

“แค เธอนอนเถอะ เดี๋ยวจะไม่มีแรงทำงาน”

ดอกมะลิตัวใหญ่ คนที่หน้าตาขี้ริ้วกว่าใคร กลับเป็นคนที่มีน้ำใจต่อฉัน

“ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” ฉันตอบกลับไป “เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ได้ยินเสียงคนพลิกตัวทันที ไม่ต้องมองก็รู้ว่ามาจากโต๊ะไหน

“เธอนอนเถอะมะลิ ขอบคุณนะ”

ฉันคิดว่า ถ้ามีสมุดสักเล่มตอนนี้ ก็คงจะได้บทกวีสักบทหนึ่ง บางทีก็อยากจดเรื่องอัปลักษณ์เหล่านี้เอาไว้ แต่ในเวลาที่ปราศจากกระดาษปากกาอีกครั้ง จึงมีเพียงถ้อยคำพรั่งพรูอยู่ในห้วงคิดนึก

จนกระทั่งความรู้สึกทั้งมวลวูบดับไป ฉันหลับใหลเมื่อใกล้จะเที่ยงวันเต็มทีแล้ว