หลังเลนส์ในดงลึก : “ช้างสอน”

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

ช้าง…

สิ่งมีชีวิตตัวโตที่สุดแห่งผืนป่า

แน่นอน เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธ

ช้าง … คือแทร็กเตอร์ประจำป่า หลายคนอาจขมวดคิ้วอย่างสงสัย

ช้าง … คือเครื่องมือซึ่งมาพร้อมกับคน ที่จูงเดินฝ่าแดดร้อนระอุพื้นคอนกรีตแข็งกระด้าง เพื่อขายแตงกวา ขายอ้อย และอื่นๆ

มีหลายข้อความที่คนพูดถึงช้าง รวมทั้งความเป็น “ผู้ร้าย” ของช้างที่เข้ามาทำลายพืชผล และทำร้ายผู้คน

มีอีกมากมายที่จะพูดถึงช้าง

ถึงที่สุด คงพูดได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักช้าง

ไม่เพียงรู้จัก หลายคนรู้ด้วยว่า ในสภาพการณ์ที่ช้างกำลังเผชิญ

อีกไม่นานนัก พวกมันจะหายไปจากโลกใบนี้

โอกาสดีของผม ที่ได้ทำงานในป่า หลายครั้งได้รับโอกาสให้พบกันอย่างกระชั้นชิด ใกล้พอที่จะได้เห็นอีกมุมหนึ่ง

มุมที่ “สอน” เรื่องราวบางอย่างไว้

 

ต้นฤดูฝนปีนั้น นานมาแล้ว

ผมใช้เวลากว่าเดือน รอเพื่อจะพบกับควายป่า แคมป์อยู่ในดงไผ่ ริมลำน้ำ เพื่อนร่วมทางชื่อ ฟื้น เป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า วัยกลางคน เขามาอยู่เป็นเพื่อน ช่วยแบกสัมภาระ ทำกับข้าวสักวันสองวัน และกลับไปทำงานสักหนึ่งสัปดาห์ และกลับมาใหม่

เวลาที่เหลือ คือการอยู่ลำพัง

กลุ่มคนที่ใกล้ที่สุดคือ แคมป์นักวิจัยนกเงือก ซึ่งอยู่ห่างไปราว 5 กิโลเมตร

วันหนึ่ง ผมเดินกลับจากซุ้มบังไพร เกือบๆ หนึ่งทุ่ม

วันนั้น เป็นวันข้างขึ้น 13 ค่ำ ดวงจันทร์เกือบเต็มดวงโผล่พ้นสันเขาด้านทิศตะวันออกแล้ว แนวเขาด้านตะวันตกขอบฟ้าส่องประกายสีแดง ลำห้วยคดเคี้ยวเห็นอยู่ในความสลัว

หลังจากนั่งอุดอู้ร้อนอบอ้าวมาตลอดวัน

บังไพรร้อนราวเตาอบ การได้เดินเลาะลำห้วย อากาศเย็นๆ ท้องฟ้าสวยงาม คือความผ่อนคลาย

ดวงจันทร์โผล่พ้นสันเขา อีกสักสองกิโลเมตรจะถึงแคมป์

ผมจะได้นอนแช่น้ำ หุงข้าว และตำน้ำพริกปลากระป๋อง มีแตงกวาเหลืออยู่ รวมทั้งถั่วฝักยาวที่พี่ฟื้นเอามาให้สามวันก่อน

พุ่มไม้ด้านขวามือไหวยวบยาบ น่าจะเป็นช้างตัวที่ผมพบเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

มันอยู่ใกล้ๆ ซุ้มบังไพร เพลิดเพลินอยู่กับการเล่นน้ำในแอ่งกลางลำห้วย

ช้างหันหลังให้ผม พลิกตัวไป-มา ใช้งวงถูรอบๆ ดวงตา พ่นน้ำเป็นระยะ

ผมค่อยๆ เดินเข้าไป กล้องติดเลนส์เทเลโฟโต 300 มิลลิเมตร บนขาตั้งชนิดขาเดี่ยว

กดชัตเตอร์ไปไม่กี่ครั้ง ช้างคงรู้ตัว หยุดพ่นน้ำ ลุกขึ้นยืน งวงชูขึ้น สูดกลิ่นรอบๆ

ร่างทะมึนเต็มเฟรมของเลนส์ 300 มิล

ลมยังไม่เปลี่ยนทิศ ผมยังอยู่ใต้ลม แต่อาจเพระใกล้เกินไป ช้างผิดสังเกต จึงค่อยๆ เดินมุ่งสู่ชายป่าที่เป็นพุ่มไม้รกๆ

ผมรอสักพักก็เดินต่อ

พุ่มไม้ไหวยวบยาบ ทำให้รู้ว่าช้างอยู่ตรงนั้น

ออกเดินต่อได้สัก 4 ก้าว พุ่มไม้ไหวอีก พร้อมๆ กับร่างใหญ่โตโผล่ออกมา ใบหูกางโบกสะบัด

มันวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ผมยืนนิ่ง เหลือราว 10 เมตร ช้างจะถึงตัว

 

เมื่อพี่ฟื้นมาอยู่ด้วย แคมป์ก็สะดวกสบาย ความเป็นลูกป่าคล่องตัว ผักหนาม ผักกูด เขาเก็บมาไว้ให้ ทำแคร่สำหรับเก็บเสบียงกันมด

“ไม่มีอะไรก็ปลาร้านี่คลุกข้าว” เขาชูปลาร้าใส่ขวดอย่างดีให้ดู

อยู่ร่วมกันสอง-สามวัน ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างเรา

พี่ฟื้นเชื่อว่า ในป่ามี “ภัย” อยู่รอบตัว กลางคืนต้องก่อไฟไว้ จะพูดเสียงดังๆ ถ้ามีเสียงหักกิ่งไม้โผงผางใกล้ๆ กลางคืนไม่ค่อยนอน ลุกขึ้นมวนยาสูบ

มีเสียงช้าง หรือเสือคำรามจะปลุกผมขึ้นมาเป็นเพื่อน

โดยปกติหากอยู่ลำพัง ผมไม่ก่อไฟทิ้งไว้ แค่เพียงกลิ่นกายคน สัตว์ก็ไม่เข้ามาแล้ว

เมื่อพี่ฟื้นอยู่ การอยู่ในป่าของเราจึงเคร่งครัดในแบบฉบับของพรานเก่า

แกห้ามไม่ให้ผมเอ่ยถึงเสือ ทั้งๆ ที่เสือ คือความตั้งใจที่อยากถ่ายรูป

วันไหนที่ไปส่งผมที่ซุ้มบังไพร ก่อนกลับ แกจะนั่งยองๆ ยกมือไหว้ ปากพึมพำท่องคาถา

“สะกดไว้ ไม่ไห้มีอะไรมาทำอันตราย และให้เจ้าป่าเรียกสัตว์มาให้ถ่ายรูปด้วย”

“เรียกเสือมาด้วยนะครับ” ผมแหย่

“อย่าทำเป็นเล่นนะ” พี่ฟื้นทำท่าหัวเสีย

ว่าตามจริง ความเชื่อหรือคาถาของพี่ฟื้น ไม่ใช่สิ่งที่ผมปฏิเสธ ต่อต้าน หรือไม่เชื่อเลยกับ “เรื่องลี้ลับ” ในป่า

ผมยอมรับใน “ความเชื่อ” ของผู้อื่น

แต่สำหรับสัตว์ป่า ผมเชื่อว่าไม่ต้องใช้ “คาถา” มาปราบ

เพราะพวกมันไม่ใช่สัตว์ร้าย

 

ร่างทะมึนพร้อมใบหูกางดูจะใหญ่โตขึ้น

“ส่วนใหญ่ช้างอยู่ตัวเดียวน่ะมันมีปัญหา ถูกไล่ออกจากฝูง เกเร ไม่ค่อยมีระเบียบ อารมณ์เสียเรื่อย ก้าวร้าว เจอในป่า ระวังๆ หน่อย มันชอบยืนซุ่มเงียบ เราเข้ามาใกล้ๆ ถึงโจมตี ถ้าวิ่งหนี อย่าวิ่งเป็นเส้นตรง ต้องวกวนไปมา เพราะช้างตัวหนัก เลี้ยวเป็นมุมฉากช้า วิ่งตรงๆ ไม่รอดหรอก”

นาทีนั้น ผมนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับช้างที่ได้ยินมา

“มันจะยืนเงียบโจมตีโดยไม่มีเสียง” ข้อความนี้จริง

ส่วนนิสัยเกเร ดุร้าย ก้าวร้าว อาจเป็นเพราะมันโดนรบกวนจากเสือ และตัวเราเอง

ช้างโทนตัวนี้กำลังทำลายความเชื่อของผม

หรือเพียงแค่เพราะผมไม่ได้ “รู้” อะไรเลย

ผมหวังว่า คำบอกเล่าว่าให้วิ่งวกวนเวลาหนีช้างจะได้ผล

“หยุด” …

ผมตะโกนโดยไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อเหลืออีกสัก 5 เมตร ช้างจะถึงตัว

ได้ผล ช้างหยุดนิ่ง แล้วหันหลังวิ่งเหยาะๆ เข้าชายป่า

เสียงเคลื่อนไหวค่อยๆ เบาลง

รอบๆ บริเวณ สงบ สันเขาด้านตะวันตกเป็นสีแดงเข้ม

ลำห้วยอยู่ในความสลัว

ผมเดินมุ่งหน้ากลับแคมป์

 

เปลวไฟไหวเอนลู่ สายลมเย็นพัดค่อนข้างแรง ฟ้ามีเมฆดำ คล้ายกลุ่มฝนพัดผ่าน

ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา

นึกถึงคำว่า “ช้าง” และคำว่า “ผู้ชาย”

นึกถึงบทเรียนที่ช้าง “สอน”

ในความสลัว ผมเห็นแววในดวงตาเล็กยิบหยี

ขณะเข้าโจมตีด้วยท่าทีก้าวร้าว แววตาซ่อนความประหวั่นพรั่นพรึง

ความก้าวร้าวซึ่งซ่อนความหวาดกลัวไว้ข้างใน

นี่ทำให้ผมรู้ว่า เราเหมือนกัน

ระหว่างช้างกับผู้ชาย

ไม่เพียงเพราะหวาดกลัว จึงต้องแสดงความก้าวร้าว

แต่บนโลกที่ต้องแก่งแย่ง หรือจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

สิ่งที่เหมือนกันอีกประการคือ

ทั้งสองสิ่งกำลังจะหายไป