คำ ผกา | ธุระของประชาชน คือเอาอำนาจคืน

คำ ผกา

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรายังพอจะมีชีวิตอยู่กันในบ้านนี้เมืองนี้ได้ ในบ้านเมืองที่

– เมื่อผู้คนเดือดร้อนเรื่องฝุ่น pm 2.5 ข้าราชการที่ออกมารับผิดชอบก็บอกว่า ฝุ่น pm 2.5 ก็มีมาตลอดแหละในเมืองไทย แต่ที่เมื่อก่อนไม่เดือดร้อน เพราะไม่มีเครื่องวัดเลยไม่รู้

– ในบ้านเมืองที่เมื่อน้ำประปาเค็ม เพราะน้ำทะเลหนุนในช่วงฤดูแล้ง โฆษกก็ออกมาแสดงความห่วงใยต่อประชาชนด้วยการบอกว่า เวลาทำอาหารให้ลดการเติมเครื่องปรุงรสลงเพราะน้ำมันเค็มอยู่แล้ว หรือนายกฯ ออกมาบอกให้นำน้ำประปานั้นไปต้มก่อนดื่ม

– ในบ้านเมืองที่เมื่อคนออกมาบ่นเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ แล้วรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องเศรษฐกิจออกมาตัดพ้อว่า สื่อไม่ช่วยกันนำเสนอข่าวดีๆ ทางเศรษฐกิจ พากันเสนอแต่ข่าวด้านร้าย ประชาชนเลยเกิดอุปาทานหมู่ว่าเศรษฐกิจมันแย่ เพราะอ่านแต่ข่าวแย่ๆ ดังนั้น ทางแก้ ทางออกของปัญหาเศรษฐกิจคือ ต้องให้ความร่วมมือกัน พูดแต่เรื่องดีๆ โดยเฉพาะสื่อ ช่วยกันหน่อย เสนอแต่ข่าวดีๆ

– ในบ้านเมืองที่เมื่อมีคนวิตกถึงสถิติการฆ่าตัวตายของคนไทยจากภาวะความเครียด ปัญหาที่รุมเร้าในชีวิต และส่วนใหญ่มาจากความเครียดเรื่องปากท้อง รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องสาธารณสุขก็ออกมาบอกว่า สื่อพากันเสนอแต่ข่าวฆ่าตัวตาย เลยเกิดภาวะอุปาทานหมู่ขึ้นมาอีก

ฆ่าตัวตายเลียนแบบกันไป

ไม่น่าเชื่อว่าเรายังสามารถมีชีวิตอยู่กันได้ในบ้านเมืองนี้ และนั่งดูปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัญหาแลวปัญหาเล่า โดยที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข

ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับการแก้ไข ไม่มีแม้แต่แนวทาง แนวคิด ไอเดีย วิสัยทัศน์ ที่จะแก้ไขอะไรเลย ทุกอย่างถูกปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

ปัญหาภัยหนาวก็แก้ได้ด้วยการอให้ฤดูหนาวจบลง

ปัญหาภัยแล้งก็แก้ไขได้ด้วยการเดินทางมาของฤดูฝนตามกาลเวลา

ปัญหาน้ำท่วมก็แก้ไขได้ด้วยการรอให้หมดฝน

จากนั้นประเทศเราก็วนเข้าสู่ปัญหา ภัยแล้ง ภัยหนาว กันอีกรอบ เรื่อยไปเป็นวงกลมแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ปัญหาฝุ่นก็เช่นกัน วิธีแก้ก็คือรอให้ลมเปลี่ยนทิศ เดี๋ยวค่าฝุ่นดีขึ้น คนก็ย้ายไปบ่นเรื่องอื่น ลืมเรื่องฝุ่น จนกว่าฤดูกาลฝุ่นจะหวนกลับมาอีกรอบ

ความสามารถเดียวของรัฐบาลแบบนี้คือ ทนทู่ซี้ ให้ประชาชนก่นด่าได้อย่างยาวนานพอที่ปัญหาบางอย่างได้รับการคลี่คลายไปเองตามธรรมชาติ

อเนจอนาถกว่านี้มีอีกไหม?

ปัญหาเศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง เราแทบไม่เห็นบทบาทของรัฐมนตรีคลัง

ไม่เห็นศักยภาพ ไม่เห็นเลยสักนิดว่าในฐานะขุนคลังของประเทศท่านมองภาวะเศรษฐกิจประเทศตอนนี้เป็นอย่างไร

ในขณะที่ชาวบ้านใช้ตาเปล่าสแกนดูภาพรวมเศรษฐกิจไทย ก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่า เงินหายาก ตลาดเงียบ พ่อค้าแม่ค้าเซื่องซึม ธุรกิจท่องเที่ยวนิ่ง โรงงานปิดตัวลงมากอย่างมีนัยสำคัญ จำนวนคนที่ตกงาน ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่

เช่น เมื่อโรงงานปิด ตลาดข้างโรงงานที่เคยค้าขายได้ก็เจ๊ง คนขับรถสองแถวละแวกโรงงานก็เจ๊งตาม พ่อ แม่ คนแก่ชราที่มีรายได้จากลูกหลานทำงานโรงงานส่งให้ก็ไม่มีรายได้อีกต่อไป ลูกเต้าของคนงานที่กำลังเรียนหนังสือก็ต้องพบกับอุปสรรคในการหาเงินเรียน

นี่คือสิ่งที่ชาวบ้านสัมผัสได้อย่างชัดเจน

ส่วนในทางข้อมูลที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าเศรษฐกิจของประเทศนี้ร่อแร่ขนาดไหนก็พิสูจน์ได้จากตัวเลขความเหลื่อมล้ำของไทยที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก หนี้ครัวเรือนขึ้นเป็นอันดับสามของเอเชีย และเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ไม่ใช่หนี้เพื่อการลงทุน ค่าเงินบาทแข็งทำส่งออกทรุด ทุนต่างชาติย้ายโรงงานหนีไปที่อื่น นักท่องเที่ยวไม่มา สินค้าทางการเกษตรหลักราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่องไปทุกตัว

เพียงตัวแปรเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เราไม่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เห็นเลย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือไหนมอง

เอาเข้าจริงแล้วลำพังค่าเงินบาทแข็ง ก็อาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวมากเท่านี้

หากเพียงแต่ในรอบสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความพยายามจะวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเราให้ชัดเจนว่าจะไปทางไหน

แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเติบโตได้เพราะภาคเอกชนพยายามดิ้นรนพัฒนาตัวสินค้าการท่องเที่ยวของตนเองขึ้นมาทั้งสิ้นโดยเป็นผลงานของภาครัฐน้อยมาก ปล่อยให้เอกชนดิ้นรนอุตสาหะ พัฒนาสินค้า บริการ เพื่อการท่องเที่ยว อย่างสะเปะสะปะ ตามบุญตามกรรม ตามรสนิยม และกำลังทรัพย์ของใครของมันไม่พอ

รัฐบาลไม่แม้แต่จะเหลียวแลว่า เออ ถ้าอยากทำมาหากินกับการท่องเที่ยว เราจะดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างไร ความปลอดภัยของรถ เรือ เครื่องบินเป็นอย่างไร ความสะดวกของการใช้สนามบินเป็นอย่างไร (ทุกวันนี้ดอนเมืองในบางวัน บางช่วงเวลา คิวรอแท็กซี่เข้าเมือง ยาวนานถึงสี่ร้อย ห้าร้อยคิว ก็เป็นเรื่องปกติ)

รัฐบาลจะสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ขนส่งมวลชน น้ำไฟ อินเตอร์เน็ต เชื่อมโยงเกื้อหนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เอกชนพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาอย่างไร

รัฐบาลพูดเรื่องเที่ยวเมืองรอง แล้วถามว่า ไอ้เมืองรองเหล่านั้น รัฐบาลได้เข้าไปพัฒนาเมืองรองให้มันน่าเที่ยว ให้มันน่าสนใจอย่างไรบ้าง หรือรัฐบาลยอมให้ส่วนท้องถิ่นจัดการตนเองไปอย่างไร?

ไม่ต้องพูดเรื่องการพัฒนา ถามว่าไปเที่ยวเมืองรองเนี่ย เมืองรองทั้งหลายของไทย มีรถเมล์ รถราง รถอะไรให้นักท่องเที่ยวใช้บริการเพื่อการเดินทางบ้าง

ไม่ต้องเมืองรองที่ไหนไกล คนไทยอย่างฉันที่ไม่มีรถ ไปเที่ยวหัวหิน ก็จบแค่ใช้ชีวิตในโรงแรม ไม่อาจไปตลาดหลายๆ ตลาด ไปกินร้านข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารของชาวบ้านที่กระจัดกระจายอยู่นอกจุดศูนย์กลางได้เลย เพราะไม่มีรถสาธารณะ

แล้วการเที่ยวที่ไม่มีบริการรถสาธารณะ หรือการเดิน การปั่นจักรยานที่มีประสิทธิภาพ มันจะช่วยกระจายรายได้ไปสู่คนเล็กคนน้อยได้อย่างไร?

ที่สุดก็กินๆ นอนๆ อยู่ในโรงแรม เงินเข้ากระเป๋าทุนใหญ่เจ้าของโรงแรมไปเท่านั้น ท้องถิ่นได้ประโยชน์เล็กน้อยแค่มีการจ้างงาน

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ประเทศไทยที่ทำมาหากินกับการท่องเที่ยวในรอบสิบปีที่ผ่านมาและอีกสิบปีต่อไปในอนาคต ได้ลงทุนไปกับการรักษาระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อต่อยอดเป็นต้นทุนสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับทำเงินต่อในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไว้แค่ไหนอย่างไร?

นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องว่าเราต้องรักษาระบบนิเวศเพื่อคุณภาพชีวิตของเจ้าของบ้านหรือคนในท้องถิ่นนะ เอาแค่จะรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อทำมาหากินกับการท่องเที่ยวไปอีกนานๆ เนี่ย ยังไม่คิดจะทำกันเลย มีแต่การจก ล้วง ควัก เอาจากธรรมชาติไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

วันข้างหน้าจะเอาอะไรกิน จะเอาอะไรขาย ไม่เคยอยู่ในหัว

มีแค่วิธีต่ำตมแบบคนที่ตักหน้าดินขายไปวันๆ พอหน้าดินหมด กลายเป็นบ่อลึกก็คิดได้แค่เอาไปรับจ้างเป็นที่ทิ้งขยะต่อ

เท่านั้นเลย

ซึ่งมันน่าเสียดาย เพราะในภาวะค่าเงินบาทแข็งแบบนี้ ถ้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเราดีจริง มีคุณภาพจริง นักท่องเที่ยวย่อมไม่ระย่อที่จะยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อมาเที่ยวเมืองไทย

แต่นี่ค่าเงินก็แพง การเดินทางในประเทศก็ไม่สะดวก ความปลอดภัยก็ต่ำ ธรรมชาติก็ไม่สวยแล้ว ทะเลก็เต็มไปด้วยขยะ

มนต์ขลังของสตรีตฟู้ดก็ถูกกวาดล้าง จับกุม จัดระเบียบจนเหี้ยน อาหารก็ราคาแพง (ราคาอาหาร ค่าครองชีพในเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทยแพงกว่าเมืองอย่าง เกียวโต โอซาก้า หรือแม้กระทั่งโตเกียว)

แหล่งท่องเที่ยว ภูเขา แม่น้ำ ก็พังทลายเพราะการจัดการที่โง่เง่า ไม่คำนึงถึงระบบสุขาภิบาลที่ถูกต้อง ปล่อยให้มีสถาปัตยกรรมอัปลักษณ์ ทัศนอุจาด การก่อสร้างอันน่าเกลียดผุดขึ้นมาอย่างไร้ทิศทาง ใครนึกภาพไม่ออกให้ไปดูเชียงคานเวลานี้ มองหามุมสวยของน้ำโขงแทบไม่เจอ

กับทุกปัญหาที่รุมเร้า เรากลับมีรัฐมนตรีที่น้ำหน้ามึนไปวันๆ แล้วก็พร่ำพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของเรา เราทำเต็มที่แล้ว “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์” เกิดจากปัจจัยภายนอก เกิดสงครามการค้า

โอ๊ยยย จนสงครามการค้าเขาเมากับจีน เขาขยิบตาจูบปากกันไปถึงไหนๆ จนเมกาย้ายไป “ยิง” ใส่อิหร่านแทน รมต.หน้ามึนของเราก็นั่งตีหน้าเศร้าเล่าความผลกระทบจากปัจจัยภายนอกไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด

นี่คงไม่แคล้ว ปีหน้าจะมาบอกว่า ที่เศรษฐกิจเราโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ (ย้ำว่าโตต่ำลง ไม่ใช่ไม่โตไปอี๊ก) เพราะผลกระทบจากความขัดแย้ง เมกา อิหร่าน ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น – ห่าน – ตอนราคาน้ำมันถูกสุดๆ มาสี่-ห้าปี ก็ไม่เห็นจะทำอะไรได้

นี่ยังไม่นับวิธีอธิบายการทำงานของตัวเองอย่างลอยหน้าลอยตาว่า รัฐบาลทำเต็มที่แล้ว เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ทำไม่เห็นใจ ทำไมไม่ให้ความร่วมมือ ทำไมชังชาติ ทำไมสร้างความแตกแยก ทำไมชอบชุมนุม รู้ไหมว่ารักประชาชนแค่ไหน อยากดูแลให้ดีหมดทุกคนแหละ แต่รัฐบาลมีเงินแค่นี้ จะดูแลให้ทั่วถึงในเวลาอันสั้นคงเป็นไปไม่ได้ (ตรรกะรัยเนี่ย)

อย่ามัวแต่ก่นด่ารัฐบาลสิ ประชาชนต้องลุกมาช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ (เอิ่ม – จะให้ทำรัย ตรูมีอำนาจไปสั่งผู้ว่าฯ งี้เหรอ)

ฝุ่นเยอะ มลพิษ ก็อย่าขับรถสิ รู้ป่าว ว่าตัวเองแหละเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่ช่วย ไม่ให้ความร่วมมือ แล้วยังจะมาด่ารัฐบาล นี่แล้วมาล่งมาไล่อะไร ดราม่าทำแต่ความดี รู้ป่าวว่า ความดีจะเป็นเกราะกำบัง คุ้มครองเรา เราทำเพื่อประเทศชาติ ใครไม่เห็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น – เฮ้ย มันอธิบายอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?

แล้วเราคนไทยก็นั่งฟังพวกนี้ลอยหน้าลอยตา กดขี่ เหยียดหยาม แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปวันๆ กับเจ้าของเงินภาษีแบบนี้ได้ด้วย?

ถามว่าทำไมพวกเขาเป็นแบบนี้?

เพราะทำงานไม่เก่ง?

เพราะเขาไม่ฉลาด?

ฉันคิดว่าไม่ใช่ เหตุผลเดียวที่พวกเขาเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาไม่ได้มาเป็นรัฐบาลเพื่อทำงานให้ประชาชน

รัฐบาลนี้มาเป็นรัฐบาลเพราะต้องแย่งอำนาจประชาชนมาจากรัฐบาลเก่า – เท่านั้นเลย ดังนั้น การงานเดียวที่พวกเขาต้องทำคือ รักษาอำนาจนั้นเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต และทำทุกวิถีทางไม่คำนึงหน้าอินทร์หน้าพรม ไม่มีหิริโอตตัปปะ จรรยาบรรณ จริยธรรม ศีลธรรมอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวในห้วงคำนึงของพวกเขาคือ ทำไงก็ได้ให้อำนาจนั้นยังอยู่กับพวกตัวเอง ไม่ตกไปเป็นของประชาชนอีกครั้งหนึ่ง

เศรษฐกิจจะพัง คนจะฆ่าตัวตาย ประเทศจะฉิบหาย พังทลายลง ก็ไม่ใช่ธุระ

ธุระคือ อย่าให้ประชาชนต้องมีอำนาจอีก

ดังนั้น สิ่งเดียวที่ควรเป็นธุระของประชาชน ย่อมไม่ใช่ไปเรียกร้องให้เขาทำงานให้เก่งขึ้นเพราะเขาจะไม่ทำ และไม่มีวันทำ

สิ่งเดียวที่กลายเป็นธุระของประชาชนในตอนนี้คือต้องไปเอาอำนาจนั้นที่เคยเป็นของเรากลับคืนมา

เท่านั้นจริงๆ