สองฝั่ง “ความเห็น” ใช้อาวุธหนัก “ม.44” ลุย “ธรรมกาย-ธัมมชโย”

ปัญหาวัดพระธรรมกาย ที่เจอคดีความต่างๆ รวมถึงการที่ “ธัมมชโย” หรือพระเทพญาณมหามุนี ผู้ก่อตั้งวัด เจอข้อหาฟอกเงิน รับของโจรจากการรับบริจาคเงินสหกรณ์บึงกุ่ม

กำลังตำรวจพยายามเข้าขอตรวจค้นพื้นทื่นี้หลายรอบ แต่ก็เจอการต้านทานของบรรดาศิษย์ จนกลายเป็นปัญหาคาราคาซัง ท้าทายอำนาจของ คสช. และรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษในมือ

ต้นสายปลายเหตุที่ธรรมกายกลายเป็นเป้าหมายการกวาดล้างอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะมีเรื่องการเมืองโยงใยอยู่ด้วย เพราะบางฝ่ายในกลุ่มอำนาจเชื่อว่า สำนักแห่งนี้ เป็นผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร

ขณะที่หลายฝ่ายเห็นว่า ธรรมกายไม่มีอะไรมากไปกว่ากลุ่มผู้ศรัทธาศาสนาที่มีแนวปฏิบัติแตกต่าง จุดอ่อนอยู่ที่การตีความบางประเด็น เช่นเรื่อง “นิพพาน” และโหมความเชื่อเพื่อให้บริจาคจำนวนมากๆ ทำให้สาวกของสำนักนี้ต้องขวนขวายหากำลังทรัพย์มาบริจาค

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวเกี่ยวกับเจ้าสำนักที่วางตัวเสมือนพระไฮโซ แตกต่างจากพระนักปฏิบัติทั่วไป

ข้อวิจารณ์ส่วนหนึ่งเห็นว่า กรณีธรรมกาย-ธัมมชโย เป็นความขัดแย้งเรื่องแนวคิด ไม่น่าจะต้องใช้กำลังอำนาจกันราวกับจะจับอาชญากรตัวเอ้

และตั้งคำถามไปถึงพระบางรูปที่มีบทบาททางการเมืองอย่างเปิดเผย ขัดแย้งกับวัตรปฏิบัติของผู้ทรงศีลอย่างโจ่งแจ้ง แต่ไม่เคยมีใครไปแตะต้อง

 

เวลา 01.00 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 เว็บไซต์ของราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2560 เรื่อง มาตรการให้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามในคำสั่งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560

คำสั่งระบุให้ ให้วัดพระธรรมกายตลอดจนพื้นที่รอบวัดพระธรรมกาย ใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รวมถึงพื้นที่ หมู่ 7 หมู่ 8 หมู่ 9 หมู่ 10 หมู่ 11 หมู่ 12 และหมู่ 13 ใน ต.คลองสอง และพื้นที่หมู่ 7 หมู่ 8 และหมู่ 9 หมู่ 10 และหมู่ 11 ใน ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งนี้

ตามมาด้วยการส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและกรมสอบสวนพิเศษจำนวนมาก เข้าตรวจค้นในวัด โดยเฉพาะอาคารดาวดึงส์ อันเป็นที่พักของผู้ก่อตั้งวัด เพื่อหาตัวธัมมชโย

แต่ไม่พบตัว พบแต่ร่องรอยการรักษาตัว เครื่องมือการแพทย์ราคาแพง

ตามมาด้วย คำสั่ง คสช. ที่ 5/2560 เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ลงนามโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้บุคคลมารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นภิกษุจำนวน 14 รูป ภายในเวลา 18.00 น. วันเดียวกัน ได้แก่ พระธัมมชโย หรือพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธัมมชโย) พระทัตตชีโว หรือ เผด็จ ทัตตชีโว, พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ, พระปลัดสุธรรม สุธัมโม หรือพระวิเทศภาวนาจารย์ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ได้แถลงชี้แจงต่อสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าวว่า ทั้ง 14 รูป เคยพบเจ้าหน้าที่แล้ว บางรูปที่อาพาธ ตามตัวไม่ได้ หรืออยู่ต่างประเทศ ในสถานการณ์ที่อ่อนไหวเช่นนั้น ญาติโยมขอร้องว่าอย่าเพิ่งเข้าพบเจ้าหน้าที่

พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังสั่งให้พระและประชาชนที่ไม่ได้อาศัยในวัดพระธรรมกาย ออกจากวัดด้วย

ผลคือ ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ธรรมกายระดมพระภิกษุและศิษย์ เข้าตรึงพื้นที่สำคัญในวัด ทำให้ตำรวจต้องถอนกำลัง และพยายามเข้าวัดอีกครั้งในตอนเช้าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ จนเกิดการปะทะย่อยๆ

 

ที่น่าสนใจคือ “อารมณ์” และ “มุมมอง” ของบรรดากองเชียร์

เปลว สีเงิน แห่งไทยโพสต์ เขียนในคอลัมน์ว่า เท่าที่ผมสังเกต การที่รัฐบาลใช้ ม.44 ควบคู่หมายค้นจากศาลครั้งนี้ เจตนาไม่ได้อยู่ที่ตัวธัมมชโย

แต่อยู่ที่ต้องการทำให้ประจักษ์ว่า “กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย” ใครจะอยู่เหนือไม่ได้ และใครจะเหิมเกริมตั้งกองกำลังรัฐซ้อนรัฐ ทำเป็น “ผีบุญ 2” ก็ไม่ได้

และกฎหมายจะใช้ได้เฉพาะกับคนหงอ คนกระจอกงอกง่อย แต่กับคนมีอิทธิพล มีบารมี มีเงิน ที่แข็งขืนไม่สามารถใช้ได้ ก็ไม่ได้ รัฐบาลจะยอมให้บ้านเมือง 2 มาตรฐานอย่างนี้ไม่ได้

การใช้ดาบครั้งนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2560) ต้องเรียกว่า “ดาบปราบมารศาสนา” ก่อนที่จะปล่อยไว้โตใหญ่เป็น “พญามารหัวโล้น” สมคบกับ “พญามารหน้าเหลี่ยม” ยึดทั้งศาสนจักรและอาณาจักร แล้วแบ่งกันครอง

พร้อมกับระบุว่า แค่สามารถทะลวงปราการ ตั้งแต่ด่านแรกยันด่านสุดท้ายเข้าไปค้นได้ทุกที่ในอาณาจักรจานบิน ร่วม 2 พันไร่

แสดงถึงลัทธิธรรมกายและสมีโยเจ้าลัทธิ ถึงกาล “ล่มสลายแล้ว” เหมือนขับไล่ตัวเจ้าลัทธิเตลิดไป แล้วยึดอาณาจักรมาไว้ในปกครองได้สำเร็จ

จากนี้ไป เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี จะได้สั่งการในขั้นแรก และเสนอเรื่องขึ้นไปตามลำดับชั้น จนเรื่องถึงที่ประชุม “คณะกรรมการมหาเถรฯ” ในที่สุด เพื่อพิจารณาในเรื่องวัด และเรื่องการปกครอง

วัดพระธรรมกาย จะเป็น “วัดมีเส้น” ไม่ขึ้นกับใคร เป็นเขตแดนพุทธพาณิชย์ “ขายบุญ-ขายสวรรค์” มีพฤติกรรม-พฤติการณ์แฝงการเมืองอีกไม่ได้

ขณะที่ในโซเชียลมีเดีย และแอพไลน์ ของกลุ่มเครือข่าย กปปส. และกลุ่มที่เคยร่วมชัตดาวน์กรุงเทพฯ ก่อนเกิดรัฐประหาร มีการเผยแพร่ข้อความโจมตีวัดพระธรรมกายอย่างถี่ยิบ

โดยระบุว่า วัดพระธรรมกายเป็นที่มั่นสำคัญของระบบทักษิณ และเหยื่อของ “ธรรมกาย-ธรรมโกย” กับระบบทุนสามานย์ส่วนใหญ่เป็นพวกเดียวกัน

 

ในอีกมุมหนึ่ง คือความคิดความเห็นต่อบทบาทของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

“ใบตองแห้ง” คอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กว่า ตำรวจมีหมายจับหมายค้นบ้านผู้ต้องหา บุกไปค้นแล้วไม่เจอตัว ยังเฝ้าอยู่ในบ้าน ออกคำสั่งให้คนออกจากบ้าน เรียกญาติไปควบคุมตัว ชื่อยาวเป็นหางว่าว ใครไม่ไปมีความผิด

ถ้าเกิดเรื่องอย่างนี้กับคนธรรมดา พวกคนดีมีศีลธรรม ก็จะเห็นว่าไม่ยุติธรรม แต่พอเป็น ม.44 กับธรรมกาย พวกอ่านหนังสือพุทธทาส ท่านปัญญา พระประยุทธ์ ฯลฯ กลับกรี๊ดสนั่น สะใจ “กำจัดมารศาสนา” ต้องใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ เหมือนธรณีสูบพระเทวทัตลัทธิแก้

หรือกระทู้ในห้องราชดำเนิน ตั้งคำถามว่า คดีธรรมกาย อคติจนลืมความเป็นธรรมไปไหม??

ระบุว่า ปกติผมก็ต้านธรรมกาย แต่กับคดีตอนนี้ กลุ่มต่อต้านมีอคติจนลืมความเป็นธรรมไปไหม? ถ้าสาเหตุมาจากการรับบริจาค หน่วยงานอื่นที่รับบริจาคเหมือนกัน ทำไมไม่ผิด ไม่เป็นคดี ไม่เรียกร้องให้ไปจับล่ะ

จุดเริ่มมันไม่เป็นธรรม การที่ธัมมี่ไม่ยอมรับ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มันด่าได้ไม่เต็มปากอ่ะ ถ้าการดำเนินคดีทางกฎหมายสองมาตรฐานกันอย่างงี้

ป.ล. ไม่ได้เรียกร้องให้ไม่เอาผิดธัมมี่ แต่จะเรียกร้องให้ใช้บรรทัดฐานเดียวกับกลุ่มที่ทำเหมือนกัน

ข่าวเข้าสลายธรรมกาย ส่อเค้าเป็นชนวนขัดแย้งรุนแรงอีกเรื่องของสังคมไทย ที่กำลังตามล่าหาความปรองดองกันอยู่