การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ในค่ำคืนนี้

“ฉันไปก่อนนะ”

ไม่รอฟังคำตอบจากใคร แม้มองไปข้างนอกจะรู้ว่าฟ้ามืดลงหมดแล้ว แต่มันก็ถึงเวลาจะต้องไป

พี่ชุนเองคงไม่เหลือหูไว้ฟังเสียงฉัน อัมพรต่างหาก ทั้งๆ ที่ยังนอนแผ่หราอยู่ กลับทำท่าจะลุกพรวดขึ้น

“จะไปไหน!”

ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง ฉันเดินออกจากห้องที่อาศัยอยู่พักใหญ่ ยินเสียงอัมพรร้องตะโกน พูดอะไรสักอย่าง แต่อาจโชคดี ที่แม้จะเมามาย เจ้าของห้องก็ไม่ยอมให้อัมพรออกประตูตามมา

ลาก่อน ลาที อัมพร ฉันรู้สึกถึงการหลุดลอยของเส้นเชือกที่เคยขมวดรัดพันไว้

ยามเชือกบางเส้นจะขาดวิ่นไป…ก็ง่ายดายกว่าที่คิด

 

แต่อากาศข้างนอกก็เย็นกว่าที่คิด พร้อมกับอีกครั้ง ที่ฉันตระหนักว่าชีวิตเป็นเพียงความไม่แน่นอน

ปราศจากสัมภาระอื่นใด มีแค่ใบแดงจำนวนหนึ่งที่เก็บงำไว้มิดชิดติดตัวอยู่เสมอ กลัวไหม ฉันถามตัวเอง แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใด

อาจใช่ หรืออาจไม่ รู้เพียงว่าหัวใจกำลังหวนกลับสู่ความชืดชา

มีป้ายไฟนีออนอยู่เบื้องหน้า ดูสว่างไสว ผู้คนคึกคักอยู่ไม่น้อยในบริเวณนั้น ตาฉันพุ่งตรงไปที่ป้ายกระดาษข้างหน้า “รับสมัครพนักงานเสิร์ฟ รายได้ดี” นั่นคือสิ่งที่ฉันควรสนใจในยามนี้

เพราะในยามดึกดื่นอย่างนี้ หากไม่แวะที่ใดที่หนึ่ง ที่ไหนสักแห่ง ต่อให้มีเรี่ยวแรง ก็ยากจะมีที่ไป

เช่าห้องพักชั่วคราวที่ไหน ก็คงไม่ง่าย…และไม่แน่ใจถ้าจะต้องสูญเสียใบแดง

 

“มาจากไหนรึ”

ผู้ชายร่างใหญ่ สวมเสื้อสีขาวคอกลมกว้าง มีผ้าขนหนูพาดคอ พเยิดหน้าถาม

ฉันบอกชื่ออำเภอบ้านเกิดไป

ผู้หญิงอีกคนเดินตรงเข้ามาหา

“ทำไมมาเสียไกล แล้วมาสมัครอะไรเอาตอนนี้”

ผู้ชายพูดไทย แต่ผู้หญิงพูดภาษาถิ่นเชียงใหม่

ฉันไม่ตอบ แต่ถามกลับไปว่า

“ให้ค่าจ้างยังไง…เจ้า”

“คืนละสามสิบบาท ทำงานดีก็ได้ทิปอีก”

“มีที่พักให้ด้วยใช่มั้ย”

“ก็นอนในนี้แหละ อยู่กันหลายคน ไม่ต้องห่วง”

“งั้นขอสมัครทำด้วยคน”

ผู้ชายเขม้นมองดูฉัน สายตานั้นยังอ่านไม่ออกความหมาย แต่ผู้หญิงรีบตอบรับ

“มีบัตรประชาชนมั้ย”

ฉันส่ายหน้า

“อายุยังไม่ถึง”

ผู้หญิงพยักหน้า

“เท่าไหร่แล้วล่ะ…14…15…”

ฉันตอบรับ

“อือ”

สายตาเจ้าของร้านกวาดมองจากหัวจรดตีน

“ไปลักขโมยใครเขามามั้ย หนีมาจากไหนหรือเปล่า”

“เปล่า ตั้งใจมาหางานทำนี่แหละ…เจ้า พอดีมาถึงค่ำ เพื่อนว่าตรงนี้มีรับสมัครอยู่”

“แล้วเพื่อนอยู่ไหน ไม่มาทำด้วยกันล่ะ”

“เขามีงานอยู่แล้ว”

“เอาละๆ ไม่ต้องซักมากแล้ว” ผู้ชายตัดบทขึ้นมา “ถ้าพร้อมทำงานก็ทำเลย คนยิ่งหายากอยู่ เอาไปสอนงานเลย”

“แล้วจะได้สตางค์ตอนไหน”

“จะรับเป็นรายวันหรือรายวีกก็ได้ แล้วแต่” ผู้หญิงเป็นฝ่ายตอบ ยินคำว่า “วีก” นึกถึงสมัยทำงานในแปลงเพาะต้นกล้า ฉันรู้ว่ามันหมายถึงรอบ 7 วัน

“มีเสื้อผ้าข้าวของอะไรมั้ย”

ฉันส่ายหัว “ไม่มี”

“…แล้วจะอาบน้ำอาบท่ายังไง” ยินเสียงผู้หญิงบ่นขึ้นมา แต่ว่าอาจด้วยสายตาของผู้ผัว…น่าจะเป็นอย่างนั้น ก็ทำให้ผู้หญิงเงียบเสียงลง

“งั้นมาทางนี้ ไปล้างถ้วยก่อน”

 

การพบตัวเองอยู่ในสถานที่ใหม่ฉับพลัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะประหลาดใจอีกแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชีวิตเป็นอย่างนี้

แต่ก็บอกไม่ถูกอยู่ดีว่าลึกๆ รู้สึกยังไง

กะละมังใบใหญ่วางบนขี้ดินสามใบ ถ้วยจานชามกองพูนอยู่รอบๆ ถ้ามองตรงไปจะเห็นห้องส้วมอยู่ไม่ไกล เหลียวซ้ายก็จะทะลุถึงภายในร้านข้าวต้ม

ใช่ ฉันกำลังอยู่ในร้านข้าวต้มโต้รุ่งแห่งหนึ่ง เป็นลูกจ้างคนใหม่

อย่างน้อย เพื่อจะมีที่ซุกหัวนอนในคืนนี้

 

“เพิ่งมาใหม่รึ”

เสียงถามดังข้างหลัง พร้อมกับจานชามอีกชุดใหญ่วางลง

เหลียวไป เป็นเด็กสาวร่างอ้วนอีกคนหนึ่ง แก้มเกลื่อนด้วยสิว แต่ก็ประแป้งแต่งหน้าเต็มที่ ทาลิปสีแดงมาก

พยักหน้าตอบ “อือ เพิ่งเข้างานตะกี้”

“เป็นคนทางใด”

บอกบ้านเกิดไปอีกครั้ง พลางถามกลับบ้าง

“เธอล่ะ อยู่นี่มานานหรือยัง”

“เพิ่งมาเมื่อวานเหมือนกัน” เพื่อนใหม่ตอบ “บ้านอยู่เมืองฝาง”

“เธอทำเสิร์ฟเหรอ”

“ทำทุกอย่างนั่นแหละ ถ้ามีคนมาทำเสิร์ฟเพิ่ม เขาว่าจะให้มาล้างถ้วย แต่ตอนนี้มีเธอมาล้างถ้วย เขาเลยให้ไปเสิร์ฟ”

“อ้อ”

“ฉันชื่อมะลิ เธอชื่ออะไร”

…ชื่ออะไร

ฉันจะให้คนอื่นตอนนี้ เรียกฉันว่าอะไรดี บางที การไม่มีตัวตนเก่าๆ อีกแล้ว อาจจะดีก็ได้

ความคิดวูบกลับไปหาหนหนึ่ง กับนายจ้างอีกคนหนึ่ง

[“มีชื่อเล่นมั้ย”

“…เรียก…คะเนก็ได้ค่ะ”

แต่ครูนิษยาคงฟังผิด นายจ้างคนใหม่พยักหน้า

“งั้นเรียกแค ง่ายดี”

“แคอะไร ดอกแคนะเหรอ” ลูกชายของนายจ้างคนใหม่ถาม]

“แค…ชื่อฉัน”

“แค? แคอะไร…ดอกแคนะเหรอ”

“อือ นั่นแหละ” ฉันตอบไปส่งๆ

“ดอกแคขาว หรือว่าดอกแคแน” เพื่อนใหม่ยิ้มกว้าง “ก็เข้ากันกับฉันนะ ดอกๆ เหมือนกัน”

“ไม่รู้แคอะไร” ฉันพยายามตัดบทไป “เขาเรียกมา”

แต่เพื่อนใหม่ยังคงยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ

“อ๋อ พ่อแม่ตั้งให้ล่ะสิ ช่างเหอะ แคอะไรก็สีขาวเหมือนกัน ดีออก เราเป็นดอกสีขาวเหมือนกัน”

ทำได้เพียงพยักหน้า แล้วเพื่อนใหม่ชื่อว่ามะลิ ก็รีบเดินจ้ำกลับไปรับลูกค้าข้างใน

 

ฟองน้ำแฟ้บขาวฟอดกลับกลายเป็นสีดำปริ่มปากขอบกะละมัง ถ้วยจานชามทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ฉันนั่งบนเก้าอี้พลาสติกเตี้ย พยายามทรงตัวอยู่บนเก้าอี้ผุตัวดังกล่าว สองมือพยายามทำงานให้เร็วรี่ รู้ดีว่าจะต้องทำให้คุ้มค่าเงินนายจ้างแค่ไหน

ก็น่าขบขันไม่น้อย ต่อให้พยายามเดินทางไปไกลแสนไกล แต่ในที่สุด อีกค่ำคืนหนึ่ง ฉันก็วนกลับมาที่เดิม เหมือนครั้งเพิ่งเริ่มชีวิตนอกรั้วโรงเรียนชั้นปอ

มาอยู่ต่อหน้ากะละมังล้างถ้วย ด้วยเสื้อผ้าติดตัวเพียงชุดเดียว

จังหวะหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แต่ไฟนีออนจากรอบด้านก็เจิดจ้า จนไม่อาจเห็นดาวเดือนดวงใด

ตอนออกจากตึกหลังนั้นมา ฉันรู้ว่าเป็นคืนพระจันทร์เสี้ยว

ยังหยุดแหงนดูโค้งเรียวนั้นอยู่ชั่วขณะ

ฉันไม่รู้หรอกว่า ตัวฉันจะสามารถไปพ้นขุมนรกได้บ้างหรือไม่

แต่เท่าที่รู้แน่แก่ใจ อย่างน้อยก็ตัดบ่วงเชือกบางเส้นไปได้ในค่ำคืนนี้