อนุสรณ์ ติปยานนท์ : อาหารจากชีวิตของสัตว์

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (12) ในวันที่เขาปลิดชีวิตสัตว์เป็นครั้งแรก

วันแรกที่เขาพรากชีวิตของสัตว์อื่นนั้นเกิดขึ้นในวัยที่เขาไม่อรู้ว่าความเป็นและความตายอยู่ห่างกันเพียงคืบ

คืนนั้นเขานั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในชั้นประถม หน้าต่างของบ้านไม้สองชั้นที่เปิดเข้าสู่ห้องนอนของเขาเปิดโล่ง มีแสงสว่างจากดวงไฟหน้าบ้านที่ส่องสว่าง และแสงไฟนั้นเองดึงดูดตั๊กแตนตำข้าวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งให้บินผ่านเข้ามา

หลังจากออกแรงไล่จับมันอยู่ชั่วครู่ เขาก็คว้ามันได้ไว้ในมือ ขาหน้าของมันที่มีหนามแหลมทำให้เขาไม่อาจจับมันไว้ได้นาน เขาตัดสินใจคว้าขวดโหลใบหนึ่ง คว่ำลงและขังตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นไว้ข้างใน

เขาเล่นอยู่กับมันราวสิบนาที เคาะขวดโหลนั้นไปมาเป็นดังการทักทาย ก่อนจะกลับไปสู่การอ่านหนังสือ

ราวหนึ่งชั่วโมงนับจากนั้น เขาง่วงงุนเกินกว่าจะฝืนสายตาต่อไปได้ เขาปิดไฟ ทิ้งตัวลงบนเตียงและเข้าสู่นิทรา

เช้าวันรุ่งขึ้น เขานึกขึ้นได้ถึงตั๊กแตนตัวนั้น เขาตรงไปที่ขวดโหล ขาหน้าของมันยังคงเต็มไปด้วยหนามแหลม ดวงตาของมันยังกลมโต แม้จะไร้แววแจ่มใส ดวงตาของตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นขุ่นมัว เขาเปิดขวดโหลขึ้น มันไม่บินหนีจากเขา ตัวของมันแข็งเกร็ง ตั๊กแตนตัวนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว

มันสิ้นชีพลงด้วยน้ำมือของเขา

 

ความตายของตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นอยู่ในความคิดคำนึงของเขาตลอดบ่าย เขาเข้าสอบด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง เขาทำข้อสอบด้วยอารมณ์ที่ไม่เบิกบาน มีแต่ความหดหู่ เศร้าหมอง มีแต่ความก่นโทษตนเอง

ถ้าเพียงแต่เขาจะเฉลียวใจ ถ้าเพียงแต่เขาจะมีสติและความระแวดระวังมากกว่านี้ เขาควรปล่อยเจ้าตั๊กแตนตัวนั้นไปตั้งแต่เมื่อคืน

เขาเป็นผู้ยุติชีวิตที่จะมีต่อไปของมันด้วยความประมาทของตนเอง

แน่นอนที่เขาโตพอจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความตาย เขารู้ว่าแมวที่เขาเลี้ยง สุนัขที่เขาเลี้ยง ไม่อาจมีชีวิตไปชั่วนิรันดร์ หลายครั้งเขาถูกใช้ให้ขุดหลุมเล็กใต้ต้นมะม่วงหรือต้นก้ามปูเพื่อฝังร่างไร้วิญญาณของสัตว์เหล่านั้น

แต่ความตายของพวกมันเป็นไปอย่างธรรมชาติหรืออย่างน้อยก็เกิดจากอุบัติเหตุ

บางตัวแก่ชราจนนอนหลับไป บางตัวถูกรถที่ขับอย่างไร้ทิศทางพุ่งชน

พวกมันตายไปด้วยเหตุผลอื่น พวกมันไม่ได้ตายจากน้ำมือของเขา

หลังจากวันนั้น เขามีส่วนในความตายของสัตว์อีกจำนวนมาก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าพ้นจากตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นที่เขาคิดว่ามันสิ้นชีวิตจากความตั้งใจของเขายังมีสัตว์อีกจำนวนไม่น้อยที่สิ้นชีวิตจากความความตั้งใจของตนเอง

ในคืนที่มียุงชุกชุม เขาตบยุงเหล่านั้นด้วยความหงุดหงิดใจ

เลือดสีแดงสดจากตัวยุงที่เป็นเลือดของเขาเองให้กลิ่นคาวแบบที่จะเป็นความทรงจำของกลิ่นคาวอื่นๆ

มดที่ขึ้นบนขนมโปรดของเขาเคยถูกเขาบี้จนแบนราบ แมลงดูจะเป็นสัตว์ที่ตายด้วยน้ำมือเขาเป็นหลัก

แมลงดูเป็นสัตว์ที่เขารู้ว่าแม้มันจะมีชีวิตแต่ก็เป็นชีวิตที่ต่างจากเขามาก มันไม่มีเลือดเนื้อให้เขาหดหู่

แต่ไม่น่าเชื่อว่าความตายของตั๊กแตนตำข้าวที่เป็นแมลงชนิดหนึ่งจะทำให้เขารู้สึกได้มากถึงเพียงนั้น

 

เขาขบคิดหาสาเหตุของความรู้สึกดังกล่าว ในที่สุดเขาก็พบว่าความคุ้นเคยนั้นเองคือบ่อเกิด

หากตั๊กแตนตำข้าวตัวนั้นพลัดบินตกลงมาบนเตียงแล้วเขาพลิกตัวทับมันจนตาย เขาจะไม่รู้สึกสิ่งใดเลย

หากแต่การจับมันขังไว้ในขวดโหล หยอกล้อกับมัน เล่นกับมันต่างหากที่ก่อกวนความเศร้าในใจของเขา

ดวงตาของเขาเคยสบกับดวงตาของมัน มันมีชีวิตอยู่จริงในฐานะของความสัมพันธ์แม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็ตาม

เขาไม่ได้สังหารแต่เพียงเจ้าสัตว์ตัวนั้น หากแต่เขายังฆ่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ด้วย

ความตายของสัตว์ตัวอื่นของสิ่งมีชีวิตอื่นที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของเขาอุบัติขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากนั้นอีกราวหนึ่งปีหรือสองปี

เขาเกิดอุตริคิดจะเลี้ยงปลากัดดังเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง เงินเก็บที่เขาสะสมจากค่าขนมถูกเขานำไปยังตลาดนัดใกล้บ้าน แม้จะมีเสียงทัดทานจากผู้ปกครองของเขาถึงการเลี้ยงมันก็ตาม เขาไม่ได้ต้องการนำมันไปกัด เขาไม่ได้ต้องการนำมันไปทรมาน เขาต้องการเลี้ยงมันเพียงเพื่อจะดูความสวยงามของมันเท่านั้นเอง

นั่นคือข้ออ้างของเขา

ปลากัดหม้อสองตัว ปลากัดจีนอีกสามตัว ถูกเขาบรรจุใส่โหลแก้ว ตั้งไว้ข้างหัวนอน ใบต้นหูกวาง สาหร่ายน้ำจืด ถูกนำมาประดับประดาลงในขวด

เขาแวะตลาดนัดนั้นวันเว้นวันหลังเลิกเรียน ซื้อลูกน้ำสีดำมาป้อนให้อาหารแก่มัน เขาเฝ้าดูการใช้ชีวิตหนึ่งหล่อเลี้ยงอีกชีวิตหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน

ปลากัดของเขามีสีงดงามขึ้น ขนาดตัวขยายใหญ่ขึ้น บางครั้งเขานำเอาขวดโหลที่บรรจุมันมาวางคู่กันให้มันพองตัวอวดสีสัน

เขาเพลิดเพลินกับกิจกรรมเช่นนี้จนวันเข้าค่ายลูกเสือมาถึง

 

เป็นปีแรกที่การเข้าค่ายลูกเสือสำรองจะมีการค้างแรม ในทุกปี มันเป็นเพียงการเข้าค่ายแบบเช้าไป เย็นกลับ แต่ในปีนั้น โรงเรียนของเขาจะพาพวกเขาไปยังค่ายลูกเสือที่ต่างจังหวัด

แม้จะเป็นการค้างแรมเพียงสองคืน ศุกร์และเสาร์ ก่อนจะกลับมาในเช้าวันอาทิตย์ แต่มันก็สร้างความตื่นเต้นให้แก่เขาอย่างยิ่ง เขาเตรียมตัวอย่างดี เตรียมเสื้อ กางเกง หนังสือ อุปกรณ์เดินป่า เชือก ไฟฉาย และสิ่งต่างๆ

ก่อนออกจากบ้าน ผู้ปกครองของเขาเตรียมขนมปัง แยม และคำอบรมต่างๆ เขาฟังคำเตือนเหล่านั้นด้วยความไม่ใส่ใจ หัวใจของเขาเต้นตูมตามด้วยความตื่นเต้นเกินกว่าจะมาใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น

เมื่อรถบัสคันใหญ่จอดลงหน้าบ้าน เขาก็วิ่งออกไปพร้อมกับเป้หลัง

วิ่งไปโดยลืมปลากัดเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง

สองคืน สามวันที่ค่ายเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน เขาได้พบกับเพื่อนต่างโรงเรียน ได้หัดก่อกองไฟ ได้เดินป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และนกแปลกตา

อาหารของค่ายแตกต่างจากอาหารที่เขาได้กินที่บ้าน แม้ว่ารสชาติของมันจะไม่ถูกปากแต่การได้พบกับสิ่งที่แตกต่างจากชีวิตปกติทดแทนสิ่งเหล่านั้นได้ วันแต่ละวันผ่านไปอย่างสนุกสนาน

เสียงหัวเราะรวมถึงการได้ใช้ชีวิตที่ปลอดผู้ปกครองนำพาเขาไปสู่การหลงลืมในหลายสิ่งหลายอย่าง

ยามเย็นของวันอาทิตย์ รถบัสคันเดิมนำเขากลับมาที่บ้าน

เขาเดินเข้าบ้านด้วยความเศร้าที่ต้องแยกจากเพื่อนที่สนุกสนานกันมาเป็นเวลาหลายวัน

และเมื่อเขาเข้าไปในห้อง ความเศร้าของเขาก็ทับทวี ปลากัดทุกตัวในขวดโหลของเขาพาร่างของมันขึ้นเหนือน้ำ ร่างของมันพลิกคว่ำในท่าที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาช้อนมันออกจากขวดโหล ร่างของมันเย็นเฉียบ เขาลืมให้อาหารมันก่อนไป

ทุกตัวจากโลกนี้ไปแล้วด้วยความหลงลืมของเขา

นับจากวันนั้นเขาไม่เลี้ยงสัตว์อีกต่อไป ความเย็นเฉียบจากตัวปลากัดเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกได้ถึงสัญญาณของความตาย

สิ่งมีชีวิตมีความอบอุ่น สิ่งที่ไร้ชีวิตมีความเย็นชืด หนาวเย็น ความแตกต่างระหว่างความเป็นกับความตายอยู่ตรงนั้นเอง

ความอบอุ่นและความหนาวเย็น

 

การไม่มีสัตว์เลี้ยงของตนเองพาเขาออกห่างจากการสังหารและพรากชีวิตของสัตว์อื่น

แต่แล้วเมื่อถึงวันที่เขาเข้าสู่โลกของการครัว การฆ่ากลับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อาหารที่ปรุงจากสัตว์ที่ตายมาแล้วเนิ่นนานนั้นไร้รสชาติ ความเย็นชืดและความหนาวเย็นให้รสชาติที่จืดชืดและปราศจากความโอชา

เช้าวันหนึ่งในที่พักริมทะเล ชาวประมงที่คุ้นเคยยื่นปูดำหรือปูทะเลในกะละมังขนาดใหญ่ให้เขา

“คุณเอาไปนึ่งให้ที ผมจะจัดการกับปลากระบอกเหล่านี้เอง”

เขามองดูปูทะเลเหล่านั้น ดวงตาของมันจ้องมองเขาไม่ต่างจากดวงตาของตั๊กแตนตำข้าวเมื่อกาลก่อน เขาถือกะละมังใบนั้นด้วยอาการลังเล

ชายชาวประมงคนนั้นคงเดาท่าทีของเขาออก “ไม่เคยทำมาก่อนหรือ ใส่ลงไปในลังนึ่งแบบนี้แหละ ถ้าปล่อยให้ปูตายแล้ว อย่าว่าแต่เนื้อเลย รสชาติของมันก็หายไปด้วย”

เขายังคงยืนลังเลจนชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “หรือคุณจะจัดการกับปลากระบอกเหล่านี้แทน หักคอมันและควักไส้ให้เรียบร้อย ส่วนผมจะจัดการปูเหล่านั้นเอง”

แน่นอนเขาเลือกอย่างทางเลือกแรกที่ถูกหยิบยื่นให้เขา อย่างน้อยการนึ่งปูเป็นก็เปื้อนเลือดในมือน้อยกว่าการควักไส้ของปลากระบอกเหล่านั้น

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาฆ่าสัตว์อีกนับไม่ถ้วน เขาเชือดคอไก่ เขาอบหอยสีขาวขณะที่มันยังมีชีวิต เขาแล่ปลาหลังจากสับคอมัน

เขากลายเป็นมือสังหารอย่างช้าๆ ในโลกของการครัว สิ่งเดียวที่เขาขบคิดตลอดเวลาในช่วงสถานการณ์เหล่านั้นคือ เพราะเหตุใดเราจึงจำเป็นต้องกินสิ่งมีชีวิต

และการกินสิ่งมีชีวิตด้วยวิธีใดที่จะทำให้ชีวิตของสัตว์เหล่านั้นสมบูรณ์แบบและทรงคุณค่าอย่างยิ่ง

นั่นคือคำถามที่เขาปรารถนาจะได้รับคำตอบอย่างที่สุด