วงค์ ตาวัน | โลกร้อน-ไทยระอุ

วงค์ ตาวัน

เริ่มต้นศักราชใหม่ด้วยความร้อนแรงจากสงครามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน ทำเอาคนทั้งโลกตกอยู่ในความหวาดผวา ไม่รู้ว่าผลพวงของศึกสงครามจะขยายวงรุนแรงขนาดไหน การก่อการร้ายเพื่อตอบโต้ชาติมหาอำนาจจะไปโผล่ในดินแดนประเทศใด กับสถานที่ไหน หรือเครื่องบินลำไหน สายการบินใด

ที่หนักหนาสุดคือผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

ยิ่งบ้านเรา สภาพเศรษฐกิจปากท้องเสื่อมทรุดมาหลายปีแล้ว เพราะสภาพการเมืองและการไร้ประชาธิปไตย

เจอปัญหาระดับโลกซ้ำเติมเข้าให้อีก ชีวิตคนไทยจะยากลำบากมากขึ้นขนาดไหน

“ท่ามกลางข่าวคนรมควันฆ่าตัวตายเพื่อหนีพิษหนี้สิน!!”

ขณะเดียวกันสงครามสหรัฐกับอิหร่านยังนำมาสู่การตอบโต้วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองในบ้านเราไปด้วย

นั่นคือ กรณีพรรคอนาคตใหม่รณรงค์เลิกเกณฑ์ทหาร ปฏิรูปกองทัพ ตรวจสอบการจัดซื้ออาวุธ

มีการหยิบยกสงครามล่าสุดขึ้นมากระทบกระเทียบว่า ถ้าสงครามมาเกิดในบ้านเรา จะหาทหารมาสู้รบได้ทันหรือไม่ จะหาอาวุธมาใช้ได้ทันหรือไม่

“เป็นการงัดเอาสงครามร้อนๆ ระดับโลกขึ้นมาตอบโต้การเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตใหม่ ในนโยบายผ่าตัดกองทัพ!”

แต่ก็มีมุมมองที่ตรงกันข้าม โดยเห็นว่าปฏิบัติการของสหรัฐในการสังหารนายพลคนสำคัญของอิหร่าน ที่เป็นต้นเหตุแห่งสงครามนี้

สะท้อนให้เห็นว่า โลกเข้าสู่ยุคสงครามโดรนแล้ว

“รบกันด้วยอาวุธทันสมัยไฮเทค ไม่ต้องใช้กำลังรบทหารตัวเป็นๆ ให้สุ่มเสี่ยงอีกต่อไป”

ใช้โดรนติดขีปนาวุธ ซึ่งสามารถควบคุมได้ในระยะไกล เล็ดลอดระบบตรวจสอบของอีกฝ่ายได้ง่าย มีระบบเลเซอร์ล็อกเป้าหมาย และสังหารเป้าหมายได้แม่นยำ

ไม่จำเป็นต้องใช้หน่วยรบพิเศษไปดักซุ่มยิง หรือบุกเข้าโจมตีกันอีกแล้ว

แถมก่อนหน้านี้สงครามโดรนได้นำมาใช้ในหลายพื้นที่ ถึงขั้นใช้ในปฏิบัติการถล่มคลังน้ำมันจนวอดวายมาแล้ว

มองแง่นี้ ตรงกับข้อเสนอของอนาคตใหม่ด้วยซ้ำ นั่นคือ ลดกำลังรบด้วยทหารลงไป ใช้การสมัคร แทนการเกณฑ์ แล้วเสริมความทันสมัยไฮเทคเข้ามาแทน

สงครามสหรัฐกับอิหร่าน บ่งบอกของโลกยุคสงครามไฮเทคอย่างชัดเจน!

ขณะเดียวกัน เริ่มต้นปี พ.ศ.ใหม่ ก็คือการเข้าสู่ช่วงร้อนแรงของสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ จะโดนยุบ จะโดนตัดสิทธิ์การเมืองกันระนาวหรือไม่

ทำให้จับตามองกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่หลายล้าน ที่แห่กันเทคะแนนเลือกพรรคนี้ ด้วยเชื่อว่าเป็นพรรคที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ และจะนำการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไปสู่สิ่งใหม่

“ถ้าอนาคตใหม่หมดอนาคตในการเมืองระบบรัฐสภาจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้นกับอารมณ์ความรู้สึกของคนรุ่นใหม่!?”

ปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่และคนอีกหลายรุ่น ที่ออกมาร่วมรวมพลังจนล้นสกายวอล์กย่านปทุมวัน เมื่อกลางเดือนธันวาคมปลายปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่น่าขบคิด

แฟลชม็อบครั้งนั้น เป็นไปตามคำเชิญชวนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งคนก็เข้าร่วมอย่างเนืองแน่น

มีการประกาศไม่ยอมทนกับอำนาจเผด็จการ เรียกร้องให้ประยุทธ์ลาออกไป

“ที่สำคัญต้องการบอกว่า เมื่อประชาชนเริ่มทนไม่ได้ เมื่อเสียงที่ใช้ในการเลือกตั้งเริ่มถูกปฏิเสธ เริ่มหมดความหมาย ก็ต้องออกมาแสดงออกกันเองเช่นนี้”

จากแฟลชม็อบ เต็มสกายวอล์ก เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2562 ตามคำเชิญชวนของพรรคอนาคตใหม่

สู่การวิ่งไล่ลุง ช่วงกลางเดือนมกราคม 2563 ด้วยการเชิญชวนของกลุ่มนิสิตจุฬาฯ

เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่และคนหลายรุ่น ทั้งสนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ไปจนถึงผู้ไม่ยอมรับการเมืองในยุคสืบทอดอำนาจ คสช.

ถ้าสถานการณ์การเมืองภายใต้ระบบรัฐสภาร้อนแรงมากขึ้น จะนำมาสู่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไปในพื้นที่นอกสภาหรือไม่

“เป็นอีกสถานการณ์ร้อนรุ่มในบ้านเราสำหรับศักราชใหม่นี้!”

แม้ว่าจะมีการตอบโต้จากฝ่ายกลุ่มผู้มีอำนาจทำนองว่า ทำไมนายธนาธรและอนาคตใหม่จึงเอาความแค้นส่วนตัว เอาปัญหาคดีส่วนตัว มาปลุกปั่นให้คนรุ่นใหม่ลุกฮือ

แต่ถ้าไปถามคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหว ก็จะได้คำตอบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ เป็นเรื่องความไม่เป็นธรรมที่มาจากระบบการเมืองอันไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ไม่ใช่เรื่องแค้นส่วนตัวของนายธนาธร ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ แต่เป็นปัญหาของทั้งระบบ เป็นการทำลายความหวังของคนรุ่นใหม่ที่แห่กันออกไปเลือกตั้งหลายล้านคน เพื่อต้องการให้การเมืองไทยยกระดับไปสูมิติใหม่

เป็นการออกมาในฐานะเจ้าของคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งนั่นเอง!

คนในรัฐบาลและคนในพรรคการเมืองฟากรัฐบาลพากันออกมาเรียกร้องว่า เข้าสู่ปี พ.ศ.ใหม่ อยากให้คนรุ่นใหม่เลิกคิดแบ่งแยกฝ่าย ไม่อยากให้บรรยากาศที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ความสงบต้องถูกทำลาย

“ขณะที่ผู้นำรัฐบาลก็ออกมากล่าวซ้ำอีกว่า อยากให้ประชาชนคนไทยตัดสินใจ ว่าเราอยากจะกลับไปสู่การเมืองแบบเดิมอีกหรือไม่!?”

ทำนองว่า นับจาก คสช.เข้ามาปกครอง และมีการเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา จนได้รัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ บริหารบ้านเมือง

จะพบว่าการเมืองกลับเข้าสู่ความสงบ ไม่มีม็อบสีต่างๆ ออกมาชุมนุมประท้วง ไม่มีการตีกัน ไม่มีการยิงกัน ปาระเบิดกัน

ดังนั้น ควรให้ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลนี้ปกครองบ้านเมืองต่อไป เพื่อให้บ้านเมืองสงบต่อไป อยากจะกลับไปสู่ยุคที่มีม็อบออกมาปิดถนนไล่ตีกันอีกหรือ

“คงต้องการโหมจุดขายในประเด็นนี้”

ถ้าประชาชนฟังแล้วคล้อยตาม ก็คงเห็นด้วยว่ารัฐบาลประยุทธ์ควรอยู่ต่อไปนานๆ ตามสโลแกนเลือกความสงบจบที่ลุงตู่

แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็คงแสดงออกในเชิงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการเมืองไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญ และต้องการให้กระบวนการพิจารณาความถูกผิดทางการเมือง ไม่มีสภาพ 2 มาตรฐาน

“ที่แน่ๆ คนจำนวนมากสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะถ้าไม่แก้ ถ้ายังมี 250 ส.ว.โหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะไม่ได้คนเก่งๆ คนมีวิสัยทัศน์แหลมคมเข้ามาพัฒนาการเมือง การบริหารและเศรษฐกิจไปสู่สิ่งใหม่”

ที่อ้างว่ายุคนี้เป็นยุคความสงบ เอาเข้าจริงๆ ก็คือการใช้อำนาจ ใช้กลไกสารพัดมาสร้างความได้เปรียบ กดฝ่ายอื่นให้สงบให้จำยอม

“และเป็นความสงบภายใต้ความล้มเหลวในการแก้เศรษฐกิจ เกิดปัญหาปากท้อง เงินทองฝืดเคือง”

ขณะเดียวกันการสร้างภาพว่าการเมืองก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง เต็มไปด้วยม็อบ เต็มไปด้วยความไม่สงบ

“คนจำนวนไม่น้อยมองว่า บางครั้งสถานการณ์ความไม่สงบ อยู่ภายใต้กระบวนการสร้างเรื่อง เพื่อนำไปสู่ความรุนแรง นำไปสู่ทางตันของบ้านเมือง เพื่อปูทางให้รถถังออกมายึดอำนาจ”

คำกล่าวที่ว่า อยากย้อนกลับไปสู่การเมืองแบบเดิมๆ อีกหรือ

คำตอบก็คือ ไม่มีใครอยากย้อนไปสู่การเมืองเดิมๆ อีกแน่ๆ ต้องการการเมืองแบบใหม่ ที่ไม่ใช่กองทัพเข้ามาแทรกแซง เข้ามาหาข้ออ้างตัดสินใจแทนประชาชน

สุดท้ายได้รัฐบาลที่มีแต่นายพล แทนที่จะได้คนรุ่นใหม่คิดใหม่ วิสัยทัศน์กว้างไกล ทำให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังย้อนยุค!