ย้อนประวัติ-เส้นทาง “บิ๊กโจ๊ก” ก่อนเงียบหาย แล้วกลับกลายมาเป็นข่าวใหญ่อีกหน

เสียงปืนรัวถล่มรถ ส่ง “บิ๊กโจ๊ก” คัมแบ๊ก ซัดทันควันปมจัดซื้อ พฐ.ชี้วิถียิง-แค่ข่มขู่

กลับมาสู่กระแสความสนใจของสังคมอีกครั้ง

สำหรับอดีตนายตำรวจคนดังที่รู้จักกันดีในนามของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล

ที่ก่อนหน้านี้พุ่งพรวดในชีวิตข้าราชการตำรวจประดุจดาวรุ่ง ใช้เวลาเพียง 5 ปีก็กระโดดจากยศ พ.ต.อ.ขึ้นเป็น พล.ต.ท.

เป็นผู้บัญชาการด้วยอายุเพียง 48 ปีเท่านั้น

แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน ถูกโยกย้ายพ้นสีกากี ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกฯ

การันตีโดยผู้บังคับบัญชา ว่าไม่ได้ถูกตั้งกรรมการสอบใดๆ เพียงแต่ย้ายเพื่อความเหมาะสม

เก็บตัวเงียบมาตลอด จนเป็นข่าวครึกโครมเมื่อรถเลกซัสหรูถูกคนร้ายขี่จักรยานยนต์รัวยิง 8 นัด หน้าร้านนวดเจ้าประจำแถวบางรัก

ออกมาระบุทันทีว่าเป็นเพราะต้องการข่มขู่จากการเปิดโปงปัญหาจัดซื้อจัดจ้าง พร้อมใช้คำว่า “วงในเขารู้ว่าใครทำ”

โยนความรับผิดชอบให้ ผบ.ตร. หากไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้

พร้อมยืนยันถูกจ้องทำร้ายจริง ไม่ใช่สร้างเรื่องเองแต่อย่างใด

เปิดนาทียิงถล่มรถ “บิ๊กโจ๊ก”

เหตุระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเกือบ 4 ทุ่มของวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา โดยพนักงานสอบสวน สน.บางรัก รับแจ้งเหตุคนร้ายใช้ปืนยิงใส่รถที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถของบริษัท สุรวงศ์ สาริกา จำกัด เลขที่ 37 ถนนสุรวงศ์ แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กทม.

ตรวจสอบพบรถยนต์ยี่ห้อเลกซัส รุ่นอาร์เอ็กซ์ 270 สีขาว ทะเบียน 9 กจ 351 กทม. มีรอยกระสุนปืนที่บริเวณประตูหน้าด้านซ้าย 1 นัด และประตูหลังด้านซ้าย 7 นัด รวม 8 นัด และตรวจสอบทราบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีต ผบช.สตม.

สอบสวน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ให้การว่า รถเป็นของภรรยา โดยก่อนเกิดเหตุขับรถมากินข้าวและแวะทำธุระ โดยจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ กระทั่งเวลากลับก็เห็นว่ารถมีร่องรอยถูกยิงจึงแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ ดูจากวิถีร่องรอยกระสุน เชื่อว่าประสงค์ต่อชีวิต พร้อมจี้ให้เจ้าหน้าที่ติดตามตัวคนร้ายมาให้ได้โดยเร็ว เพราะลงมือใจกลางเมืองที่มีคนพลุกพล่าน เป็นการกระทำอุกอาจ

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบวงจรปิดพบว่า ช่วงเวลา 20.17 น. มีคนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นคลิก สีดำ แต่ไม่เห็นแผ่นป้ายทะเบียน คนขับขี่สวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีครีม กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบสีขาว ส่วนคนซ้อนท้ายสวมเสื้อแจ๊กเก็ตสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าผ้าใบสีขาว ทั้งคู่สวมหมวกกันน็อกเต็มใบสีดำ และใส่ถุงมือสีดำ โดยหลังก่อเหตุขับขี่รถจักรยานยนต์วนรถกลับออกไป เพราะจุดเกิดเหตุเป็นซอยตัน

ขณะที่ รปภ.ที่เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ก่อนเกิดเหตุสังเกตเห็นรถเบนซ์สีดำขับเข้ามาวน 3 รอบภายในซอย ในช่วงเวลา 18.00 น. เวลา 19.00 น. และ 19.30 น. โดยที่จำได้เพราะเห็นเสาวิทยุคล้ายรถตำรวจ และปกติรถเข้ามานวดก็ต้องจอดรถลงมา หรือจะหลงทางเข้าทางตัน ก็ไม่น่าเกิดขึ้นซ้ำกันถึง 3 ครั้ง

ด้านผู้จัดการร้านนวดคิง บอดี้ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ขณะเกิดเหตุนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ในร้าน ส่วน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ใช้บริการนวดอยู่ที่ชั้นบน เข้ามาตั้งแต่เวลา 18.30 น. หลังจากนวดไป 1 ชั่วโมงเศษก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เป็นลูกค้าประจำของร้าน ใช้บริการนวดนานกว่า 10 ปี แต่ระยะหลังเข้ามาใช้บริการเดือนละ 1 ครั้ง แต่ละครั้งจะจอดรถตรงจุดที่เกิดเหตุอยู่เป็นประจำ

ส่วนพนักงานนวดที่ให้บริการ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุว่าตอนเกิดเหตุ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์นอนหลับอยู่บนเตียงนวด ได้ยินเสียงคล้ายประทัด แต่ไม่ได้เอะใจหรือตกใจ กระทั่งผู้ดูแลร้านขึ้นมาแจ้งให้ทราบ แล้วปลุก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แจ้งกับเจ้าตัวว่ารถถูกยิง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ก็ไม่ได้ตกใจแต่อย่างใด บอกกับผู้ดูแลร้านว่าไม่ต้องแจ้งความ เดี๋ยวดำเนินการเอง จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาดูรถ

ต้องคลำหาสาเหตุกันต่อไป

ซัดปม ป.ป.ช.สอบจัดซื้อ

ด้าน พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ก็นำทีมพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบรถยนต์ของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งจากการตรวจสอบพบร่องรอยถูกกระสุนปืนยิง 8 นัด ที่บริเวณข้างตัวรถทางซ้าย บริเวณประตูหน้า 1 นัด และประตูหลัง 7 นัด พบหัวกระสุนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 หัว รวมทั้งต้องรื้อรถเพื่อตรวจหาหัวกระสุนที่คาดว่าจะตกอยู่ในรถเพิ่มเติม เพื่อหาเอกลักษณ์ของกระบอกปืนที่ใช้ยิง

อีกทั้งยังต้องตรวจสอบภาพวงจรปิดในวันก่อนเกิดเหตุ 7-15 วัน และภาพหลังเกิดเหตุ เพื่อหาเบาะแสคนร้าย ขณะนี้สอบพยานไปแล้ว 6 ปาก ไม่ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุมีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธปืนหรือไม่ แต่จากวิถีกระสุนพบว่าเป็นการยิงเฉียงลงในระยะประชิด น่าจะมีเจตนาข่มขู่

แต่ต้องตรวจสอบให้รอบคอบ ใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อเชื่อมโยงถึงผู้ก่อเหตุ

ต่อมาเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 8 มกราคม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เดินทางเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวน สน.บางรัก โดยมี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ร่วมสอบปากคำ ก่อนเปิดเผยว่า เชื่อว่าปมปัญหาเกิดจากผู้เสียหายจากโครงการ PIBEC และ BIOMETRICS ที่ถูกร้องเรียนที่ ป.ป.ช. มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท

ยืนยันว่าไม่ได้สร้างภาพหรือสร้างสถานการณ์ เพราะไม่มีเหตุจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร รถก็เสียหาย ก่อนหน้านี้ 2 ปีก่อนมีเหตุคนร้ายยิงรถนักข่าว ตอนนี้ก็จับไม่ได้ เชื่อว่าเป็นแผนประทุษกรรมเดียวกัน คนวงในต้องรู้ว่าใครยิง

ส่วนคนต้องสงสัยรู้อยู่ แต่ไม่เปิดเผย ถ้าไม่ใช่คนมีอำนาจคงไม่มีใครกล้าทำ ถ้าผมเป็น ผบ.ตร. และจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะเกิดใจกลางเมือง

 

“ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรือกลับไปดำรงตำแหน่งกับตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับ เพราะผมเป็นตำรวจอาชีพ กลับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด”

อย่างไรก็ตาม นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. ระบุว่า โครงการไบโอแมทริกซ์ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นของคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้น

ยังไม่มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน ตอนนี้อยู่ขั้นรวบรวมพยานหลักฐานไปได้แล้วประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีมูลค่าสูง อาจจะต้องพิจารณาเรียกตัวบุคคลต่างๆ มาให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช. คณะทำงานกำลังพิจารณาว่าจะต้องเรียกใครมาให้ข้อมูลหรือไม่ และในสัปดาห์นี้จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบดูการติดตั้งเครื่องไบโอแมทริกซ์ตามพื้นที่จังหวัดต่างๆ ว่า สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่

เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

เปิดประวัติอดีต ตร.คนดัง

สําหรับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยก่อนหน้านี้ถือเป็นนายตำรวจคนดัง เป็นที่รู้จักในสังคมอย่างกว้างขวาง ด้วยผลงานแถลงข่าวจับกุมคดีสำคัญทั่วประเทศ

โดย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2513 ที่ จ.สงขลา เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 31 โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 47 เป็นประธาน นรต.47

มีชื่อเสียงโด่งดังสมัยเป็น ผกก.สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในสมัยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็น ผบช.ภาค 9 เมื่อปี 2551 ก่อนขึ้นเป็นรอง ผบก. และขึ้นเป็นรอง ผบก.ภ.จว.สงขลา และยังเป็นผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร จ.สงขลา ส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4 อำเภอ พื้นที่ไฟใต้ จนได้รับนับอายุราชการทวีคูณ

ต่อมาวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 ดำรงตำแหน่ง ผบก.ประจำสำนักงาน ผบ.ตร. ทำหน้าที่ประสานนายกรัฐมนตรี ในสมัยที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็น ผบ.ตร. ปีเดียวกันขึ้นเป็น ผบก.ท่องเที่ยว

ปี 2559 ย้ายมาเป็น ผบก.สปพ. ถัดมาเพียงปีเดียวได้รับแต่งตั้งเป็นรอง ผบช.น. ก่อนโยกมาเป็นรอง ผบช.ท่องเที่ยว แล้วขึ้นเป็น ผบช.สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ถือเป็นผู้บัญชาการที่อายุน้อยที่สุดในวงการสีกากี คือ 48 ปี

นอกจากนี้ยังเป็นคณะทำงานศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอำนาจจับกุมทั่วประเทศ ซึ่งช่วงนี้คดีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์แถลงจับกุมถือว่ามากเป็นประวัติการณ์

ในแวดวงการเมือง ยังเป็นผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ทำงานใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง

แต่อนาคตที่กำลังสุกใสกาววาว ก็มีคำสั่งฟ้าผ่าเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2562 ให้ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ก่อนไปเป็นที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกฯ

ไม่เป็นที่เปิดเผยถึงสาเหตุถูกย้ายฟ้าผ่า เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนความผิดใดๆ

เก็บตัวเงียบมาเกือบปี สุดท้ายกลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง เพราะถูกยิงรถ

คัมแบ๊กพร้อมชนทุกคู่กรณี