เจาะเวทีปรองดอง แย้มข้อเสนอพรรคการเมือง “วัดความจริงใจ” รัฐบาล

14 กุมภาพันธ์ วันวาเลนไทน์ นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะสร้างความปรองดองให้คนในชาติ

เพราะทางคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ชุด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หัวเรือใหญ่ ถือฤกษ์งามยามดีโอกาสนี้ ระดมผู้แทนพรรคการเมืองกว่า 70 พรรค เข้ามาเสนอแนะ หาแนวทางการปรองดอง

เพื่อวางอนาคตการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ไร้ความขัดแย้ง ณ ศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านรับฟังความคิดเห็น พร้อมคณะจัดโต๊ะกลมรับฟังข้อเสนอแนะอย่างกว้างขวาง พร้อมกำหนดกรอบแนวทางการพูดคุยไว้ 11 ประเด็น ซึ่งการเมืองคือหัวใจหลักในการพูดคุย

จากจุดสตาร์ตวันแห่งความรัก จนถึงวินาทีนี้ พรรคเล็กพรรคน้อย จำพวกพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย พรรคเพื่อชีวิต พรรคท้องถิ่นไท ฯลฯ และพรรคขนาดกลางอย่างพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา จนถึงพรรคขนาดใหญ่เก่าแก่อย่างประชาธิปัตย์ ต่างตบเท้าทยอยเข้ากระทรวงกลาโหม เพื่อโชว์ไอเดีย แสดงวิสัยทัศน์แนวทางการปรองดอง

เหลือเพียงพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทย และภูมิใจไทยเท่านั้นที่ยังไม่ถึงคิว เมื่อเสร็จคิวพรรคการเมือง จากนั้นจะเป็นคิวของกลุ่มการเมือง ภาคธุรกิจ เอกชน และภาคประชาชนในโอกาสต่อไป

จากความเห็นเบื้องต้น ทุกพรรคล้วนเห็นตรงกันว่า ปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งอันร้าวลึกฝังในจิตใจคนไทยมานาน นั่นคือ “การเมือง” หากแก้ปัญหาการเมืองไม่ได้ การปรองดองย่อมไม่บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

ธนพร ศรียากูล

เสียงสะท้อนเล็กๆ ของ ธนพร ศรียากูล หัวหน้าพรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย เสนอไอเดีย ถ้าจะสร้างความปรองดองจริงๆ เขาอยากให้ คสช. ยกเลิกกฎเหล็ก คำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนก่อน จากนั้นต้องเปิดพื้นที่เวทีสาธารณะให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี ปราศจากซึ่งเงื่อนไข ถ้าดำเนินการตรงนี้ได้จะเป็นหลักประกันว่าผู้มีอำนาจรัฐสนใจฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนมุมมองประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) รุ่นเก๋า “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” เสนอประเด็นแก้ปมการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ ด้วยการให้ทุกพรรคการเมืองต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย เคารพผลเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด และพรรคต้องคัดสรรคนดี มีความรู้ ความสามารถ มาเป็นตัวแทนให้ประชาชน

ทำนองเดียวกัน เมื่อจัดตั้งรัฐบาล ทุกพรรคต้องทำบทบาทหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน อีกทั้งอยากให้ลืมอดีต ลืมความขัดแย้ง แล้วหันมาคำนึงถึงส่วนรวม

จากนั้น “สุวัจน์” เสนอว่า ถ้าเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคตขึ้นมา ต้องแก้ไขความขัดแย้งในเวทีสภาผู้แทนราษฎร ตามวิถีทางประชาธิปไตยเท่านั้น โดยที่ไม่เล่นการเมืองนอกระบบ

สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

ขณะที่ วิสัยทัศน์ของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสร้างความปรองดองได้ คืออยากให้มีการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน อย่ามองว่าประชาธิปไตยเป็นปัญหา แต่ต้องมองว่าความบกพร่องของการใช้ระบอบประชาธิปไตยของเราในอดีตต่างหากที่เป็นปัญหา

“แนวทางแก้ไข ถ้ายึดหลักประชาธิปไตยจริงๆ คือ การเคารพสิทธิของกันและกัน เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม เป็นข้อยุติ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่าต้องควบคู่ไปกับหลักนิติธรรม รวมถึงการรู้จักการจำกัดการใช้อำนาจที่มีขอบเขตของคนที่มาจากการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็จะเดินไปได้”

และสิ่งที่หัวหน้ามาร์คให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จะต้องมีการวางกลไกถ่วงดุลอำนาจให้ดี เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม โดยที่ไม่เล่นนอกกติกา พร้อมทั้งต้องไม่สร้างข้อผูกมัด หรือสัตยาบัน เพราะจะไม่มีผลในทางปฏิบัติ อีกทั้งต้องมาทำความเข้าใจกันว่าจะทำอย่างไรให้เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง แล้วอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในสังคม

ตรงนี้ต่างหากที่จะสร้างความปรองดองได้อย่างแท้จริง

AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ / AFP PHOTO / LILLIAN SUWANRUMPHA

สําหรับพรรคเพื่อไทย แม้ว่ายังไม่ถึงคิวก็ตาม แต่ ชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นก่อนว่า ความปรองดองจะเกิดได้ต้องค้นหาความจริงและเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย

ต้องหาความจริงของเหตุความขัดแย้งทั้งหมดและตีแผ่ให้สังคมรับทราบ

อีกทั้งปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต้องไม่มีการสร้างข้อจำกัดหรือตั้งเงื่อนไขในการพูดคุย เช่น ห้ามพูดเรื่องอดีต นิรโทษกรรม และต้องไม่สร้างปัญหาความขัดแย้งให้เกิดขึ้นใหม่

“ผลสรุปของแนวทางการสร้างความสามัคคีปรองดองควรเป็นความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย มิใช่เกิดจากการออกคำสั่งหรือตรากฎหมายขึ้นบังคับ การปรองดองถึงจะสัมฤทธิผล”

ชูศักดิ์ ศิรินิล

ในเมื่อคณะอนุกรรมการฯ ชุด “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ รวบรวมความคิดเห็นเสร็จตามกรอบเวลา 3 เดือน ก็จะส่งไปที่คณะอนุกรรมการบูรณาการข้อคิดเห็นและเสนอแนะ ที่มี “บิ๊กปุย” พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นแม่งานหลัก

เมื่อจัดทำเสร็จจะส่งไปยังคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอกระบวนการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง อันมี “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เป็นประธาน ตามกระบวนการต่อไป

เหนือสิ่งอื่นใด การจะสร้างความปรองดองได้ ควรเป็นอย่างที่ “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชพท.) บอกไว้ในวงถกความปรองดอง “รัฐบาล-คสช. ต้องมีความจริงใจ และต้องทำอย่างจริงจัง เพราะทุกภาคส่วนในสังคมต่างให้ความสนับสนุน และเป็นความหวังอย่างยิ่ง ถ้าทำอย่างจริงจังและจริงใจ เชื่อว่าจะสำเร็จผล”

เพราะข้อเสนอแนะต่างๆ ล้วนมีงานวิจัยสำรวจไว้ครบถ้วนตกผลึกทุกประเด็นแล้ว เหลือเพียงหยิบขึ้นมาดำเนินการอย่างจริงจัง และจริงใจ

ทว่า หากรัฐบาล และ คสช. ไม่มีความจริงใจและจริงจังในการสร้างความปรองดอง สิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไร้ความหมาย และสิ้นเปลืองงบประมาณ