ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | วางบิล |
เผยแพร่ |
วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์
เมื่อไม่ได้ทำผิดแต่ต้องรับโทษ
มานิจ สุขสมจิตร บันทึกเรื่อง “จุดจบของกฎหมายการพิมพ์” ไว้ว่า
ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. … ที่ฝ่ายหนังสือพิมพ์เสนอและให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาจำนวน 17 คน ประกอบด้วย
1.นายกำแหง ภริตานนท์ 2.นายคมสัน โพธิคง 3.นายชาญชัย สุนทรมัภฐ์ 4.นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ 5.นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ 6.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ 7.นางบัญญัติ ทัศนียะเวช 8.นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด 9.นายพิชัย วาศนาส่ง 10.นายภัทระ คำพิทักษ์ 11.นายมานิจ สุขสมจิตร 12.พล.ต.ท.วัชรพล ประสานราชกิจ 13.นายสมเกียรติ อ่อนวิมล 14.นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ 15.นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ 16.นายสำราญ รอดเพชร และ 17.นายสุวัฒน์ ทองธนากุล
คณะกรรมาธิการเลือกรองศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ เป็นประธาน มีรองประธาน 2 คน คือ นางบัญญัติ ทัศนียะเวช กับนายสุวัฒน์ ทองธนากุล
เลขานุการคณะกรรมาธิการคือ นายภัทร์ คำพิทักษ์
โฆษกกรรมาธิการคือ นายสำราญ รอดเพชร
คณะกรรมาธิการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550 และครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2550 สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 47/2550 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ร่างพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ไว้ ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ.2550 เป็นปีที่ 62 ในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ 9)
พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2550 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ.2550
ทำให้พระราชบัญญัติ 3 ฉบับ และคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 2 ฉบับ ยกเลิกตามมาตรา 3 คือ
- พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484
- พระราชบัญญัติการพิมพ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2485
- พระราชบัญญัติการพิมพ์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2488
- คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2519
- คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 36 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2519
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 มีบทบัญญัติมาตรา 45-48 รับรองสิทธิเสรีภาพของหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนอื่นไว้อย่างชัดเจนและกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยป้องกันมิให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงครอบงำทั้งทางตรงหรือทางอ้อม
ทั้งนี้ ได้มีบุคคลในวงการหนังสือพิมพ์ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เข้าไปเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 3 คน คือ
- นายมานิจ สุขสมจิตร บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
- นายเกียรติชัย พงษ์พานิชย์ บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์ข่าวสด
- นายสุนทร จันทรังสี บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์โคราชรายวัน
โดยเฉพาะนายมานิจ สุขสมจิตร นอกจากเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้วยังได้รับเลือกจากสภาร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 1 ในจำนวน 25 คนด้วย (มีกรรมาธิการ 10 คนที่คณะมนตรีความมั่นคงเสนอชื่อให้เข้ามาร่วมด้วย จึงทำให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนทั้งสิ้น 35 คน)
การร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2550 และประชาชนลงมติเห็นชอบต่อรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550
เป็นอันว่าพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 และบรรดาคำสั่งและประกาศที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ด้านสิทธิเสรีภาพของการนำเสนอข่าวและการปิดหนังสือพิมพ์รวมทั้งการอื่นกระทำมิได้
แต่มิได้หมายความว่าสิทธิเสรีภาพของการประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์จะกระทำได้อย่างกว้างขวางเกินกว่าขอบเขตของสิทธิเสรีภาพอันพึงมี ด้วยยังต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกำหนดของจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีบทบัญญัติอันมีโทษกำหนดไว้ด้วย
วิถีทางการประกอบวิชาชีพหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะในตำแหน่งบรรณาธิการซึ่งกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการพิมพ์อาจถูกจำคุกทั้งที่บรรณาธิการมิได้กระทำผิดด้วยตนเอง ด้วยพระราชบัญญัติการพิมพ์กำหนดไว้ว่า ผู้ประพันธ์และบรรณาธิการต้องรับผิดเป็นตัวการ และถ้าไม่ได้ตัวผู้ประพันธ์ ก็ให้เอาโทษแก่ผู้พิมพ์เป็นตัวการด้วย ซึ่งในการจดทะเบียนเป็นบรรณาธิการ มักจดว่าเป็นผู้พิมพ์ผู้โฆษณาด้วย
ความดังกล่าว เป็นเหตุให้เมื่อมีผู้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ว่ากระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท อาทิ การลงตีพิมพ์ข่าวซึ่งมีผู้กล่าวหาว่าผู้ใดผู้หนึ่งไปในทางหมิ่นประมาท ผู้ฟ้องนอกจากจะฟ้องผู้กล่าวหาแล้ว ยังฟ้องบรรณาธิการร่วมด้วย ดังนั้น ตัวบรรณาธิการจึงต้องไปรับข้อกล่าวหาทั้งเป็นผู้ต้องหาและจำเลยทุกครั้ง
การไปขึ้นศาลในฐานะจำเลย เมื่อก่อนทุกครั้งขณะที่โจทก์และพยานโจทก์ให้การ จำเลย คือบรรณาธิการต้องไปรับฟังด้วยทุกนัด แต่หลังจากนั้น จำเลยคือบรรณาธิการไปฟังข้อกล่าวหา หรือคำให้การของตัวโจทก์แล้ว อาจขอทนายความยื่นคำขอต่อศาลว่าให้จำเลยคือตัวบรรณาธิการซึ่งมีทนายความได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนปฏิบัติหน้าที่แทนจำเลย ทั้งจำเลยได้รับการประกันตัวและมีภารกิจต้องดูแลกิจการจึงขอฟังการพิจารณาลับหลัง ซึ่งศาลมักจะอนุญาต ทำให้ตัวบรรณาธิการไม่ต้องไปฟังคำให้การของพยานโจทก์ทุกนัด นอกจากวันไปฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา
การเป็นบรรณาธิการต้องตกเป็นจำเลยขณะที่มิได้เป็นผู้กระทำความผิด แม้การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทจะเป็นความผิดลหุโทษก็ตาม แต่มีโทษจำคุกอยู่ด้วย จึงไม่รู้ว่าหากมีความผิดแล้วต้องโทษจำคุกหรือไม่
นับเป็นภาวะที่สร้างความทุกข์ใจในทุกครั้งที่ต้องฟังคำพิพากษา