วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร/ลับลมคมใน ไป่หลี่ฉี (26)

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ลับลมคมใน ไป่หลี่ฉี (26)

 

การนำเอาเด็กน้อยไร้วิชาฝีมือ 3 คนจากเรือนขังไพร่ไปต่อกรกับจอมยุทธ์ระดับไป่หลี่ฉีจากแคว้นเป่ยเอี้ยน ต่อให้ใช้จินตนาการลึกลับซับซ้อนอย่างไรก็ยากที่จะมองเห็นชัยชนะ

คนของแคว้นเป่ยเอี้ยนก็คิดเช่นนี้ คนของแคว้นต้าอวี๋ก็คิดเช่นนี้

ที่จักรพรรดิเหลียงยินยอมทำตามข้อเสนอของเหมยฉางซูก็เพราะประเมินว่าเหมยฉางซูน่าจะมีทีเด็ดในฐานะอันเป็นประมุขแห่งพรรคบูรพานที

รัชทายาทและอวี้หวังเออออไปด้วยเพราะเชื่อในอัจฉริยะกิเลนที่ทำเนียบหลางหยายกย่อง

ยิ่งเซียวจิ่งรุ่ย เหยียวอวี้จิน ซึ่งมีวิชาฝีมือยิ่งมากด้วยความงุนงงสงกา มีแต่เซี่ยปี้เท่านั้นที่ไม่มีความเห็นมากนักเพราะมิได้เป็นจอมยุทธ์

ที่ให้ความมั่นใจอย่างไร้เงื่อนไขย่อมเป็นหนีหวงจวิ้นจู่

1 เพราะเห็นว่าเหมยฉางซูเป็นประมุขพรรคบูรพานทีอันเป็นพรรคอันดับหนึ่งในยุทธจักร และ 1 เพราะเห็นว่าเขาอยู่ในสถานะอันเป็น “อัจฉริยะกิเลน”

หากไม่มี “กลยุทธ์” แยบยลก็ยากอย่างยิ่งที่จะได้รับการยกย่อง

ทั้งหมดนี้มีแต่เพียงเหมิงจื้อเท่านั้นที่เข้าถึงวงในและความเป็นจริงของเหมยฉางซูมากที่สุดในฐานะที่รู้จักมาอย่างยาวนาน

ยิ่งกว่านั้นยังดำรงอยู่อย่างเป็น “ผู้สมคบคิด”

 

ถึงจะมั่นใจสักเพียงใด แต่ผ่านมา 1 วันภายหลังการฝึกปรือ ภายหลังการสมคบคิดวางแผนในลักษณะพื้นฐาน ในที่สุดก็จำเป็นต้องถาม

“บอกมาตามตรงท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”

ความสงสัยของเหมิงจื้อคือ “ข้าหมายถึงเรื่องที่ท่านก่อขึ้น แม้ข้าจะให้ความร่วมมือก็ตาม แต่ฝีมือของไป่หลี่ฉีผู้นี้ข้าสำรวจอย่างละเอียดแล้ว ‘แข็งแกร่งเกินไปทำให้แตกหักง่าย’ เป็นจุดอ่อนของเขาก็จริง แต่ใช้เด็กทารก 3 คนไปจู่โจม ต่อให้เป็นท่านก็คงทำไม่ได้กระมัง”

“พี่เหมิงไม่เชื่อ” เหมยฉางซูยิ้มลึกลับ “อีกวันหนึ่งก็รู้ผลแล้วท่านคอยดูวันนั้นก็แล้วกัน”

สายตาของเหมิงจื้อตรึงแน่นบนใบหน้าเหมยฉางซู ครึ่งค่อนวันจึงค่อยระบายลมจากปากออกมาคำหนึ่ง 2 ไหล่แข็งแกร่งพลันคลายออกพร้อมกับคำที่โพล่งออกมา

“ไป่หลี่ฉีเป็นคนของท่านด้วยจริงๆ ด้วย”

เหมยฉางซูถูไถ 2 มืออันเย็นเฉียบไปมาก่อนยกขึ้นอังลมร้อนเหนือริมฝีปาก

“ท่านผิดแล้ว ไป่หลี่ฉีไม่ใช่คนของข้า เพียงแต่คนที่เห็นในตอนนี้ไม่ใช่ไป่หลี่ฉีตัวจริงเท่านั้น”

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เสียงร้องจากปากของเหมิงจื้อมากด้วยความประหลาดใจ

ตรงนี้สะท้อนจุดต่างทั้งในทางความคิดและในทางการปฏิบัติ ระหว่าง “จอมยุทธ์” กับ “นักวางแผน” กำหนดกลยุทธ์

จำเป็นต้องฟังคำบอกเล่าของเหมยฉางซู

 

คิดจะก่อการใหญ่ระดับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินในราชานครแห่งนี้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ข้าต้องการ ก่อนอื่นตัวเองต้องกลายเป็นบุคคลสำคัญถึงจะใช้ได้

รัชทายาทกับอวี้หวังเห็นคุณค่าของข้ายังไม่เท่ากับองค์จักรพรรดินิยมยกย่องข้า

ดังนั้น ตอนแรกที่วางแผนนี้ขึ้น เดิมทีคิดว่าจะออกโรงเองหมายสร้างชื่อเสียงให้ระบือลือลั่น เวลานี้เพื่อถิงเซิงจึงมีการปรับแผนเล็กน้อย

กลับรู้สึกยิ่งดี ยิ่งแนบเนียน

นับว่าสวรรค์มีตาจริงๆ

ความจริงต่อให้วิชาแปลงโฉมเลิศเลอปานใด นานเข้าก็ต้องเผยพิรุธออกมาจนได้ ขณะที่คณะทูตเป่ยเอี้ยนข้ามแม่น้ำบูรพา พวกเราก็ลักพาไป่หลี่ฉีตัวจริงไป

จากนั้นก็เอาคนอื่นแทนที่เข้าไป

ไป่หลี่ฉีปกติมักอยู่แต่ในจวนองค์ชายไม่ค่อยถูกผู้คนพบเห็น อุปนิสัยสันดานหยาบช้า ใบหน้าอัปลักษณ์ ทุกคนในคณะทูตไม่มีใครอยากพินิจใบหน้ามันสักเท่าไร บวกกับคนที่สวมรอยเป็นไป่หลี่ฉีเป็นคนแยบคายละเอียดอ่อน

ดังนั้น หลายวันนี้ยังไม่ปรากฏพิรุธแม้แต่น้อย

แผนที่พวกแคว้นเป่ยเอี้ยนกำหนดไว้ตั้งแต่ออกเดินทางคือ ให้ไป่หลี่ฉีเก็บงำขุมกำลังไว้ จากนั้นค่อยโจมตีฉับพลัน

คนของพวกเราก็แค่ไสเรือตามน้ำสวมรอยแผนการของพวกนั้นทุกประการ

ถึงไม่สะกิดให้ผู้คนเคลือบแคลง ข้าเพิ่งพูดว่า “ยืมแรงสยบพลัง” ไป หากฝ่ายตรงข้ามไม่ออกกระบวนท่า พวกเราก็ยากลงมือแล้ว

 

ถือเป็นความสำเร็จอย่างแน่นอน แม้จะเป็นความสำเร็จอันมากด้วยเงื่อนงำ โดยเฉพาะหมิงจื้อรับบทหันเหจินเตียวไฉหมิง เหมยฉางซูรับบทหันเหหนีหวงจวิ้นจู่

กระนั้น ยังไม่ทันได้เสพเสวยกับผลสำเร็จจากการวางกลยุทธ์

พลันก็มีสถานการณ์ใหม่เข้ามาทดสอบ และเรียกร้องเหมยฉางซูให้ไปบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโดยด่วน