วงค์ ตาวัน | กึ่งทศวรรษ

วงค์ ตาวัน

ส่งท้ายปี 2562 ที่ผ่านมา ฉายาบุคคลในข่าวที่นักข่าวประจำสายข่าวต่างๆ ร่วมกันตั้งให้นั้น ต้องนับว่าสายทำเนียบรัฐบาลโด่งดังฮือฮาที่สุด แต่ก็ได้รับการยกย่องไปทั่วว่า ตั้งได้แสบสันและสื่อความหมายได้ตรงอย่างยิ่ง และไม่ใช้คำที่รุนแรงเกินไป รวมทั้งไม่หยาบคาย

“ส่วนที่ว่าแสบขนาดไหนนั้น ก็ดูจากอาการของคนที่ถูกตั้งฉายาเป็นเครื่องวัดได้ชัดเจน”

ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการตั้งฉายาให้กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ว่า “พิทักษ์ 1 กึ่งทศวรรษ”

ความหมายคือ ผบ.ตร.เจ้าของรหัส “พิทักษ์ 1” คนนี้ อยู่ในตำแหน่งได้ยาวนาน กำลังจะครบกึ่งทศวรรษ ในอีก 9 เดือนข้างหน้า

“ถ้ายังอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงวันครบเกษียณอายุ 30 กันยายน 2563 ก็เท่ากับสร้างประวัติศาสตร์ อยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ได้ครบ 5 ปี”

สำหรับวงการตำรวจ ที่เต็มไปด้วยเลื่อยและมีดที่พร้อมจะแทงข้างหลังนั้น

ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักที่จะเป็น ผบ.ตร.ได้ยาวนานขนาดนี้

ยกเว้นย้อนไปไกลถึงสมัย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อะไรขนาดนั้น ซึ่งเป็นยุคที่อำนาจอธิบดีตำรวจยังแข็งแกร่ง สมัยนั้นผู้นำตำรวจก็อยู่กันได้ยาวนาน

เอาใกล้เข้ามาหน่อยก็สมัย พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ ที่อยู่ได้นานระหว่างปี 2525 จนถึงปี 2530 รวม 5 ปีเต็ม

“แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครอยู่ได้ถึง 5 ปีขนาดนี้”

ด้านหนึ่งก็ขึ้นกับอายุราชการขณะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำตำรวจ หลายคนก็มีอายุราชการ 2 ปี 3 ปี

แต่ถึงจะมีวาระแค่ 2-3 ปี หลายคงก็ยังอยู่ได้ไม่ครบ มีอันต้องโดนปลดโดนเด้งเสียก่อน

“ด้านหนึ่งเพราะอำนาจฝ่ายการเมืองยังครอบเหนือตำรวจเต็มที่ อีกด้านภายในองค์กรตำรวจเอง ก็เต็มไปด้วยนักเลื่อยขาเก้าอี้!”

ยิ่งถ้านับในยุคที่ตำรวจเปลี่ยนฐานะจากกรมตำรวจ มีระดับอธิบดีตำรวจ หรือ อ.ตร. เป็นผู้นำหน่วย ยกฐานะขึ้นเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ายจากสังกัดกระทรวงมหาดไทย มาเป็นหน่วยราชการอิสระขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อตุลาคมปี 2541

นับจากนั้นมาไม่เคยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่อยู่ได้ยาวนาน

จนมาถึง ผบ.ตร.คนที่ 11 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดานี่แหละ ที่อายุราชการยาวนานถึง 5 ปี

เข้าสู่ปี 2563 นี้ ถ้าอยู่จนถึง 30 กันยายน ก็จะทำสถิติ ผบ.ตร.คนแรกที่อยู่ถึงกึ่งทศวรรษ

ความจริงแล้ว ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เก้าอี้ ผบ.ตร.ของบิ๊กแป๊ะ ต้องเผชิญมรสุมมาไม่ใช่น้อย มีคนพร้อมจ้องเสียบ จ้องเลื่อยอยู่ตลอด หนีไม่พ้นวงจรอำมหิตของแวดวงสีกากี จะพบว่ามีข่าวลือเด้งบิ๊กแป๊ะ ย้ายบิ๊กแป๊ะอยู่เป็นระยะ

แต่สุดท้ายด้วยวิชาความสามารถขั้นสูงก็ผ่านพ้นวิกฤตมาได้โดยตลอด จนเชื่อกันว่าผ่านมาได้กว่า 4 ปีแล้ว เหลืออีกแค่ 9 เดือน มีหรือบิ๊กแป๊ะจะป้องกันตัวเองไม่ได้

“โอกาสสูงมากที่จะอยู่ครบวาระได้”

จุดสำคัญก็คือ จะต้องเชื่อมสายสัมพันธ์ระดับอำนาจฝ่ายการเมืองและฝ่ายต่างๆ ได้อย่างเหนียวแน่น เพื่อเป็นเกราะป้องกันชั้นดี

ประการต่อมา การกระชับความสัมพันธ์กับระดับรอง ผบ.ตร. จะต้องเป็นไปด้วยดี เพื่อทำให้คนที่ถือเลื่อยถือมีด ทำอะไรได้น้อยที่สุด หรือทำให้ขาดแนวร่วมมาร่วมโค่นเก้าอี้ ผบ.ตร. ก็จะรับมือได้ง่ายขึ้น

ในด้านการสร้างผลงานให้ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนคนดู ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นการสร้างกระแสทางสังคมทำให้มีความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป

“ในแง่นี้ ดูเหมือน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทำได้ค่อนข้างดี”

ในด้านผลงานสืบสวนปราบปรามโจรผู้ร้าย ถือว่าเข้าทาง เนื่องจากเป็นตำรวจที่เติบโตมาในสายสืบสวนปราบปรามโดยตรง ดังนั้นเมื่อเกิดคดีอาชญากรรมใหญ่ๆ ในยุคนี้ จะเห็นว่า ผบ.ตร.สามารถลงไปคุมทีมสืบสวนได้เอง ลงไปนำทีมคลายคดีด้วยตัวเอง และประสบความสำเร็จจับกุมได้อย่างรวดเร็วหลายคดี

ที่เด่นอีกประการก็คือ ในเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้เห็นภาพ พล.ต.อ.จักรทิพย์ลงไปคลุกคลีกับผู้ใต้บังคับบัญชา นอนกลางดินกินกลางทางที่ถ้ำหลวง ไปจนถึงในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

“เป็นภาพข่าวที่เรียกเสียงคะแนนจากประชาชน”

นอกจากนี้แล้ว การดูแลผู้ใต้บังคับบัญชากว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ สามารถทำได้จนไร้แรงต่อต้านในวงกว้าง

ด้วยความครบเครื่องรอบด้านเหล่านี้ เป็นส่วนสำคัญทำให้ยังป้องกันตำแหน่งมาได้กว่า 4 ปีแล้ว

การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจประจำปีเป็นอีกเรื่องใหญ่ ชี้วัดความสามารถในด้านการบริหารงานบุคคล จะพบว่าช่วง 2-3 ปีแรกของบิ๊กแป๊ะ มีปัญหาในด้านนี้อย่างมากมาย การโยกย้ายไม่ตรงตามกรอบเวลา ยื้อโผ เลื่อนเวลาไปเรื่อย

จนกระทั่งมาปีนี้เอง หลังจากรัฐบาลเปลี่ยนแปลง จากยุครัฐบาล คสช.มาเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้ง แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ลงมากำกับดูแลงานตำรวจเอง เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ดูงานตำรวจมาตลอดมีปัญหาสุขภาพ และไม่อยากปวดเศียรเวียนเกล้ากับวงการนี้อีกแล้ว

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์มาคุมตำรวจเอง ได้มอบอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจให้กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์เพียงผู้เดียว

“นั่นเอง เมื่อบิ๊กแป๊ะมีอำนาจเด็ดขาด ไม่มีมืออื่นเข้ามาแทรกแซงโผ จึงทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจหนล่าสุดประจำปีนี้ สร้างสถิติใหม่นั่นคือ ตรงเวลาทุกระดับ!!”

เริ่มจากระดับนายพลประจำปี สามารถเสร็จสิ้นได้ครบถ้วนภายในเดือนสิงหาคม เป็นครั้งแรก

ถัดมาระดับรองผู้การลงมาถึงสารวัตร สามารถเสร็จสิ้นได้ส่วนใหญ่ในปลายเดือนพฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงต้นเดือนธันวาคมอีกส่วนหนึ่ง เท่ากับตรงตามกรอบเวลา เทียบกับปีก่อนๆ นี้ จะต้องยืดเยื้อไปถึงปีหน้า

จากนี้ไปก็เหลือระดับรองสารวัตรถึงชั้นประทวน ก็น่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมกราคม 2563

“เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าไม่มีการแทรกแซงเกิดขึ้น ให้ ผบ.ตร.มีอำนาจเต็มในการจัดทำการโยกย้ายเองก็สามารถทำได้ตรงตามกรอบเวลา สร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งเต้นและลุ้นโผอย่างยืดเยื้อ จนไม่เป็นอันทำการทำงาน”

สำคัญสุด การตรงเวลา แปลว่าไม่มีการทอดเวลาเพื่อให้มีการเคาะประมูลราคาเก้าอี้

จึงทำให้การโยกย้ายรอบล่าสุด เรียบร้อย ไร้ข้อครหา ไม่มีอื้อฉาวเรื่องประมูลเก้าอี้อีกด้วย

“ทั้งยังบ่งชี้ว่า เหตุที่การโยกย้ายเกิดปัญหาตลอดก่อนหน้านี้ เพราะมีมืออื่นเข้ามาวุ่นวาย ทั้งมีวิธีการยื้อเวลาเพื่อรอเคาะประมูลนั่นเอง!!”

การโยกย้ายประจำปีล่าสุดนี้ ถือว่าสร้างเครดิตให้กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ในหมู่ตำรวจได้อย่างมาก ตรงเวลา ไม่ย้ายผิดฝาผิดตัวและสะอาด

อีก 9 เดือนจากนี้ไป นอกจากจะต้องดูว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์จะอยู่ได้จนครบวาระหรือไม่ ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะยาก

ยังต้องจับตามองกันว่า แล้วใครจะมาเป็นทายาทพิทักษ์ 1 คนต่อไป

“สูตรที่มาแรงที่สุดเวลานี้คือ “2 สุ” กับ “1 ว.” เป็น 3 ตัวเต็ง โดยล่าสุดเริ่มมีกระแส “ม” เพิ่มขึ้นมาเป็นตัวเลือกที่ 4″

ใครก็ตามที่จะขึ้นมาแทน ก็คงต้องศึกษาบทเรียนจากบิ๊กแป๊ะ ในการยืนสู้มรสุมเลื่อยเก้าอี้ รวมทั้งการควบคุมความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา

ดังสะท้อนออกมาที่การทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะเป็นอีกเรื่องใหญ่ที่พิสูจน์ความแข็งแกร่งของผู้นำตำรวจตัวจริง!