จรัญ พงษ์จีน : เมื่อ “ฉายา” มาเยือน อารมณ์รัฐบาลถึงกับสะเทือน

จรัญ พงษ์จีน

นับจาก “สามพี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์” นำทหารปฏิวัติ-ยึดอำนาจ ล้มล้างรัฐบาลพลเรือน “แช่แข็งประชาธิปไตย” มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 มืดมนอนธการ ไม่เห็นแสงเห็นตะวัน ใบ้รับประทานมา 6 ปีเศษ

“นักข่าวทำเนียบ” รู้งาน อ่านใจคนทะลุ จึงพักเบรก “งด” การตั้งฉายารัฐบาล-รัฐมนตรี ธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยสืบสานมายาวนาน จะด้วยแรงเบียดเสียดทาน หรือมีอะไรกดดันลึกๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้

พอสถานการณ์บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แม้จะจำแลงแปลงกายกลายพันธุ์มาจากกระบอกไม้ไผ่กอไหนก็แล้วแต่ ถือว่ามาตามครรลองเลือกตั้ง

“ฉายารัฐบาล-รัฐมนตรี” จากผู้สื่อข่าวสายทำเนียบ เลยกลับมาอีกครั้ง ส่งท้ายปี 2562

รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ได้รับฉายา “รัฐบาลเซียงกง” เนื่องเพราะสะท้อนภาพรัฐบาลคล้ายกับแหล่งค้าขายอะไหล่มือสอง ประกอบขึ้นมาจากข้าราชการยุคก่อน และนักการเมืองหน้าเก่า แม้ใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็เป็น “อะไหล่เซียงกง” อยู่วันยังค่ำ ขาดความน่าเชื่อถือ สะท้อนความไม่มีเสถียรภาพ

“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฉายา “อิเหนาเมาหมัด” บรรยายประกอบว่า สุภาษิตไทย ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง นโยบายของนายกฯ ที่เห็นได้ชัดหลายเรื่อง มักจะตำหนิหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่สุดท้ายแล้วกลับมาทำเอง เช่น โครงการลักษณะประชานิยม บอกไม่เป็นนายกฯ สุดท้ายก็กลับมา ไม่อยากเล่นการเมืองก็หนีไม่พ้น หนีการตอบกระทู้ในสภา มองข้ามข้อครหาเรื่องงูเห่าการเมือง การซื้อตัว ส.ส.

ตั้งคนมีคดีความที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองเป็นรัฐมนตรี แต่งตั้งญาติพี่น้องเข้าสภา อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมให้รัฐบาลมีความเป็นเอกภาพ เกิดปัญหาติดขัดการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงงบประมาณที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ฉายา “พี่ใหญ่สายเอ็นฯ” ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ของสาม ป. นอกจากจะต้องคอยดูแลน้องรักแล้ว ยังต้องเอ็นเตอร์เทนพรรคร่วมรัฐบาล และต้องเอ็นดูคนในพรรคพลังประชารัฐที่ได้รับมอบหน้าที่ประธานยุทธศาสตร์ทุกด้าน ตั้งแต่คดีระหว่างประเทศยันฟาร์มไก่ ทำให้งานด้านความมั่นคงที่ได้รับมอบหมายให้ดูแล เหลือเพียงเดินสายเปิดอีเวนต์ ประชุมทั่วไปเท่านั้น

“วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ฉายา “ศรีธนญชัยรอดช่อง” ด้วยความเป็นกูรูด้านกฎหมายของรัฐบาล สามารถช่วยรัฐบาลรอดพ้นปากเหวได้ทุกครั้ง เปิดทางตันด้วยช่องทางกฎหมายที่แม้แต่แว่นขยายก็ยังมองไม่เห็น

นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีในรัฐบาล “ตู่ 1/2” อีก 7 คนได้รับฉายา ประกอบด้วย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ ฉายา ชายน้อยประชารัฐ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏฺ์” รองนายกฯ-รมว.พาณิชย์ รัฐอิสระ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ-รมว.สาธารณสุข ฉายา สารหนู “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม โอ๋ แซ่รื้อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯ เทามนัส “มนัญญา ไทยเศรษฐ” รมช.เกษตรฯ มาดามแบนเก้อ “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.ทรัพยากรฯ สัปเหร่อออนท็อป

โดย “วาทะแห่งปี” เป็นคำพูดของ “บิ๊กตู่” กับประโยคที่ว่า “อย่าเพิ่งเบื่อผมก็แล้วกัน ยังไงผมก็อยู่อีกนานพอสมควร”

 

ปรากฏว่า การจัดฉายานายกฯ-รัฐมนตรีของ “นักข่าวทำเนียบ” หนแรกในรอบ 6 ปี คนอื่นๆ พากันเฉยๆ ไม่มีปฏิกิริยา ที่เป็นเรื่อง เสียรังวัดอยู่มั้ง ก็รายของ “พล.อ.ประยุทธ์” เจ้าของฉายา “อิเหนาเมาหมัด” ปะหน้ากับกองทัพผู้สื่อข่าวก็งอนตุ๊บป่อง ไม่ยอมพูดยอมจา ตีหน้ายักษ์โบกไม้โบกมือไม่ยอมให้สัมภาษณ์

“บิ๊กตู่” คงมองต่างมุม ว่าตัวเองทุ่มเททำงานหนัก คิดว่าทุกอย่างสำเร็จ สะอาดหมดจดอย่างท่วมท้นล้นเหลือ

แต่ฉายากลับออกมาซึ่งตรงกันข้ามกับที่ตัวเองคิด ก็เลยไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่พูดไม่จา แอบประชด ตีสีหน้าบอกบุญไม่รับ

อย่างไรก็ตาม ฉายารัฐบาล-รัฐมนตรี ดังที่บอกว่า สื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล สืบสานจัดมาเป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่สมัย “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

“ป๋าเปรม” เจอฉายาเจ็บๆ แสบๆ มาสารพัด บางปีดี บางปีร้าย ก็ว่าไปตามบท เพราะไม่ได้แฝงด้วยอคติส่วนตัว เจอมาแล้วทั้ง “เตมีย์ใบ้-รัฐมนตรีน่าเบื่อ”

แต่ “พล.อ.เปรม” ไม่เคยฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เฉยเข้าไว้ตลอด

สมัย “ชวน หลีกภัย” ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับฉายามาแล้วไม่รู้กี่ขนาน ทั้ง “จอมฟุตเวิร์ก-นายประกันชั้นหนึ่ง-รัฐบาลชวนเชื่อ”

ช่วง “ทักษิณ ชินวัตร” ขึ้นหิ้งยึดตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2544 ก็มีฉายามานับไม่ถ้วน ทั้ง “เหลิงลม” เพราะควบคุมอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งบริหาร-นิติบัญญัติ เลยหลงเหลิงอำนาจ

ขณะที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมาขัดตาทัพอยู่ได้พักใหญ่ ได้ฉายาไปไม่ใช่น้อย ทั้ง “ผู้นำจานด่วน-พ่อมดมนต์เสื่อม” เป็นต้น

ที่โดนนักข่าวทำเนียบให้ฉายาได้แสบอีหลีมากมิใช่ย่อยๆ คือ สมัย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ทวงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับคืนมาได้อีกคำรบ หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2554

ได้รับฉายาประเดิมปีแรก “นายกฯ นกแก้ว” ด้วยความสวยที่เป็นจุดเด่น แต่กลับไม่สามารถบินไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง ต้องมีพี่เลี้ยงคอยดูแล สอนบินให้ตลอด จึงไม่ค่อยรู้ข้อเท็จจริง ทำให้พูดผิดพูดถูกตลอด

ปีที่สอง “ปูกรรเชียง” มาจากชื่อเล่นของ “ยิ่งลักษณ์” ที่มีลักษณะเดินเซไปเซมา การทำงานไม่มีอะไรเห็นรูปธรรม ได้แต่เดินโชว์ไปโชว์มา เมื่อมีปัญหาทางการเมืองก็ตีกรรเชียง ลอยตัวหนีปัญหา

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา คือ “ฉายา” ที่สื่อมวลชนทำเนียบจัดหนักให้กับรัฐบาล รัฐมนตรี สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี 2523 สมัย “พล.อ.เปรม” มาเว้นวรรคเสียระยะหนึ่งช่วงปฏิวัติ เมื่อปี 2557 และกลับมาอีกครั้งในปี 2562

แค่หยิกๆ หยอกๆ เบาๆ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กลับฉุนเฉียวไม่สบอารมณ์

เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ต้องอดทน

พระทั่นว่า “โกธัง มตวา สุขัง เสติ …ฆ่าความโกรธได้ จะอยู่เย็นเป็นสุข” นั่นแหละโยม