อุรุดา โควินท์ / อาหารไม่เคยโดดเดี่ยว : น้องกับพี่, สิบห้าให้หลัง

“ได้กินอาหารเหนือบ้างหรือยัง” ฉันถามเขา

“ยังเลยครับ รอเจ๊ทำให้กิน”

ฉันหัวเราะ นั่นเป็นคำตอบที่ฉันเดาได้ เขาคนที่ฉันรู้จักเมื่อสามสิบปีก่อน จะตอบแบบนี้ละ…

พ่อคนขี้อ้อน อ้อนตั้งแต่หนุ่มน้อยจนความหนุ่มเหลือน้อย

“ตอนนี้มีกี่คนอ่ะ” ฉันโพล่งออกมา

ทิ้งเขาไว้กับคำถาม ฉันเปิดตู้เย็น หยิบกระดูกหมูออกมาล้าง เติมน้ำสะอาดจนท่วม แล้วตั้งไฟ

“หนึ่งเท่านั้นครับ”

“เหรอ…”

เขายิ้มกว้าง เห็นร่องรอยบริเวณหางตา เขาไม่ใช่หนุ่มน้อยคนเดิม แต่ยังเป็นเพื่อนผู้เปรียบเสมือนน้องชายของฉัน ฉันจะไม่แปลกใจ ถ้าเขามีสาวๆ มากกว่าหนึ่ง ตอนเป็นวัยรุ่น เขามีเสน่ห์แบบหนุ่มเจ้าสำอาง ฉันรู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่เกิน และมีบางสิ่งที่ขาดหาย สำหรับฉัน (ในวัยเดียวกัน) เขาดูเป็นคนน่ารักที่เข้าใจยาก แต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ชายที่ดูสบายตา

คุยด้วยแล้วสบายใจ

 

“ทําอะไรให้น้องกิน” เขาถาม

“อาหารเหนือไง แกงผัก”

“แกงผักเป็นอาหารเหนือ ไม่ใช่น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว พวกนี้เหรอ”

เขาเป็นลูกชายนายตำรวจ ย้ายตามพ่อมาเรียนจังหวัดเชียงราย 3 ปี เขารู้จักอาหารเหนือในแบบที่คนทั่วไปรู้จัก

คนเหนือกินอะไรก็ได้ที่นัวๆ กับข้าวเหนียว ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น และเมนูที่คนเหนือกินไม่รู้จักเบื่อก็คือแกงผัก เวียนเปลี่ยนผักไป ย่อมได้แกงรสใหม่ (ถ้าเรารับรสของผักได้)

ฉันอยากให้เขาลองแกงผัก แน่ใจว่าเขาไม่เคยกิน ต่อให้เคยก็คงแค่ใกล้เคียง ไม่เหมือนหม้อนี้ เพราะนี่คือแกงผักเท่าที่มีในตู้เย็น

“พี่ทอดหมูให้ กินแกงผักไม่ได้ก็กินหมูทอดกับข้าวนะ มีไข่เจียวด้วย แต่โนน้ำพริกหนุ่ม โนไส้อั่ว มันหากินที่ไหนก็ได้”

“เจ๊ทำให้ น้องต้องกินได้อยู่แล้ว”

“กินเผ็ดได้แค่นิดหน่อยโนะ” ฉันถาม เผ็ดระดับอนุบาลเลยละ ที่เขาจะรับได้ตอนเป็นเด็ก

“รักพี่ที่สุดในโลก ไม่รักพี่แล้วน้องจะรักใคร”

“รักเมียไง” ฉันสวนทันควัน

สำนวนเชยๆ แต่เข้าปากเขานัก ถ้าคนอื่นพูด คงไม่ฟังน่ารักน่าชังเท่านี้

“ลูกสาวด้วยครับ สองคน คราวหน้าจะพามาขอข้าวกิน”

ฉันหัวเราะ เขาเนี่ยนะ จะพาลูกสาวมากินแกงผัก ลำพังพ่อ ไม่รู้จะอิ่มเพราะหมูทอดกับไข่เจียวหรือเปล่า

 

ฉันเตรียมผักรอ มีเห็ดนางฟ้า ยอดฟักทอง และลูกฟักทองอ่อน

จากนั้นก็ตำน้ำพริกแกง ใช้หัวหอม กระเทียม พริกหนุ่ม และเกลือทะเล เรียบง่ายแค่นี้ ใช้หัวหอมมากสักหน่อย เพื่อทำงานร่วมกับซุปกระดูกหมูที่กำลังเคี่ยวบนเตา ได้น้ำแกงรสหวานพองาม แบบไม่ต้องพึ่งน้ำตาล ไม่หวานติดลิ้น

ตำน้ำพริกแกงแค่พอแหลก แล้วเติมกะปินิดหน่อย ถ้าไม่มีเขา ฉันจะใส่น้ำปลาร้าสองช้อนโต๊ะ แต่ฉันจำได้ว่าเขาแพ้ปลาร้า กินแล้วท้องเสีย

เคี่ยวซุปด้วยไฟอ่อนราวครึ่งชั่วโมง น้ำจะลดลง ส่วนหมูที่ติดกระดูกจะเปื่อย

ฉันเร่งไฟ ใส่น้ำพริกแกงลงไป ตามด้วยผัก ปรุงรสเพิ่มด้วยน้ำปลา รอให้ผักทั้งมวลสุก ฉันก็ชิม แล้วปิดไฟ

ฉีกพริกย่างลงหม้อนิดหน่อย จะทำให้แกงหอมขึ้น เผ็ดขึ้น

แบ่งตักใส่ถ้วยเล็ก เลือกผักให้ครบทุกชนิด แล้วส่งให้เขา

“ถ้าไม่ชอบก็บอกนะ”

เขาตักแกงเข้าปาก “น้องกินได้ ว่าแต่…มันคือผักอะไร นอกจากเห็ดน่ะ”

แน่นอนว่าเขาไม่รู้จัก ทั้งฟักทองอ่อน และลูกฟักทอง

“พี่เก็บแถวๆ นี้ กินได้ ไม่ตาย”

“น้องเชื่อพี่สิ กินข้าวบ้านพี่มากี่มื้อแล้ว”

นั่นคงเป็นเหตุผลที่ฉันกลายเป็นพี่สาว ไม่ใช่เพื่อน ทั้งที่เราเรียนชั้นเดียวกัน ห้องติดกัน และอายุเท่ากัน

เขาไม่ได้บอกว่าแกงอร่อย แต่เขากินมันสองถ้วยแบ่ง กับข้าวเหนียวใหม่นึ่งและไข่เจียว โดยแตะหมูทอดน้อยมาก

“ไข่เจียวอร่อยเหมือนเดิม หนาๆ ใส่ต้นหอม น้ำมันแทบไม่มี” เขาว่า

 

ฉันนึกถึงคืนวันที่เรายังเป็นนักเรียน วันนั้นเราไม่รู้-ชะตากรรมจะหว่านอะไรมาให้เราบ้าง เขาฝันจะเป็นนายตำรวจเหมือนพ่อ แต่เขาเรียนทหารอากาศ และสุดท้ายมาประกอบอาชีพนักบิน ฉันดีใจที่เขายังรักษาดวงตาสุกสว่างคู่นั้นไว้ ฉันไม่จำเป็นต้องถาม สบายดีมั้ย เป็นอย่างไรบ้าง ในเมื่อเขายิ้มกว้างเพียงนั้น

ยิ้มทั้งปาก ทั้งตา ทั้งใจ

“พูดจริงนะพี่ มาคราวหน้าจะพาลูกมาหา พี่ต้องเจียวไข่แบบนี้เลยนะ ขอไข่เจียวกับข้าวเหนียวก็พอ”

ฉันพยักหน้าหนักแน่น ใจคิด ขอให้มาเถอะ จะทำให้เต็มโต๊ะเลย

“เล่าให้ลูกฟังบ่อยๆ เมื่อก่อนไม่มีเซเว่น เวลาหิว น้องแวะบ้านพี่ ขอไข่เจียวกิน อิ่มอร่อย ไม่ต้องจ่ายตังค์”

“เข้าใจละ ว่าคิดถึงไข่เจียวแค่ไหน”

เขาอมยิ้ม พยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหลบตา ฉันรู้ว่าเขาคิดอะไร แปลก-ที่ฉันแน่อกแน่ใจเสมอ ว่าฉันรู้จักเขาดี

กระทั่งตอนนี้ 15 ปีให้หลัง จากครั้งสุดท้ายที่เราพบกันในงานเลี้ยงรุ่น