หนุ่มเมืองจันท์ | จิตวิญญาณ

กลายเป็นแฟชั่นใหม่ของวงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกไปแล้ว

นั่นคือ การดึง “นักเตะเก่า” มาคุมทีม

แทนที่จะเป็นอดีตผู้จัดการทีมดังๆ

ตั้งแต่ “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” อดีต “ซูเปอร์ซับ” มาเป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

หลังจากปลด “โชเซ่ มูรินโญ” ยอดผู้จัดการทีมชื่อดัง

ตามมาด้วย “แฟรงก์ แลมพาร์ด” ของเชลซี

“แลมพาร์ด” เป็นนักเตะระดับตำนานของทีมสิงโตน้ำเงินคราม

เขาขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมเชลซี ต่อจาก “เมาริซิโอ ซาร์รี” กุนซือชาวอิตาเลียน

“เอฟเวอร์ตัน” ตอนปลด “มาร์โก ซิลวา” ผู้จัดการทีมคนเก่าไป

เขาก็ตั้ง “ดันแคน เฟอร์กูสัน” หรือ “บิ๊กดังก์” อดีตศูนย์หน้าจอมโหน่งและจอมโหดในตำนานมาคุมทีมชั่วคราว

ก่อนจะตั้ง “คาร์โล อันเชล็อตติ” มาเป็นผู้จัดการตัวจริง

ล่าสุดทีมอาร์เซนอล ที่ปลด “อูไน เอเมรี” กุนซือชาวฝรั่งเศส ก็ดึงตัว “มิเกล อาร์เตต้า” อดีตนักเตะดังของทีมมาเป็นผู้จัดการทีม

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นเพียงทีมเดียวก็อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด

ปลดผู้จัดการทีมแบบกะทันหัน

หาผู้จัดการทีมเก่งๆ หรือที่มีประสบการณ์ยาวนานไม่ทัน

ก็ตั้ง “นักเตะเก่า” มาคุมทีมไปก่อน

อาศัยชื่อเสียงสมัยตอนเป็น “นักเตะ” แก้ขัด

กันแฟนบอลด่าไปสักพัก

แต่พอเกิดขึ้นกับหลายทีมในเวลาใกล้เคียงกัน

เหมือนเป็น “แฟชั่น”

แต่ผมคิดว่าปรากฏการณ์นี้น่าจะมีเหตุผลมากกว่านั้น

มันน่าจะเป็นเรื่องราวที่ลึกซึ้ง

ชนิดที่ “ริว จิตสัมผัส” หรือ “หมอปลา” คาดไม่ถึง

เพราะไม่ใช่ระดับ “วิญญาณ”

แต่ลึกล้ำถึงขั้น “จิตวิญญาณ”

พวกแฟนบอลทีมต่างๆ เคยเจอคำถามแบบนี้ไหมครับ

เริ่มจากเบาๆ

เชียร์ทีมนี้มาตั้งแต่เมื่อไร

ทำไมถึงเชียร์

ทีมตัวเองแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือไม่ได้แชมป์เสียที

ฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนจาก “ดิวิชั่น 1” เป็น “พรีเมียร์ลีก” มาตั้งนาน แต่ก็ยังไม่เคยได้แชมป์เลย

ทนได้อย่างไร

แฮ่ม…

ทำไมไม่เปลี่ยนทีมเชียร์

ครับ คนที่มาจากดาวคนละดวงกับพวกเราจะไม่มีทางเข้าใจเรื่องแบบนี้เด็ดขาด

คนที่เชียร์บอลพรีเมียร์ลีกเหมือนคนถูก “ป้ายยา” ครับ

ทำอะไรที่คนธรรมดาไม่ทำกัน

อธิบายด้วย “เหตุผล” ยากมากเลย

ไม่ได้เป็นญาติกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ยอมอดหลับอดนอนเพื่อเชียร์ทีมโปรด

ชนะก็ดีใจ

แพ้ก็เสียใจ

บางครั้งถึงขั้นนอกจากเชียร์ทีมตัวเองแล้ว

ยัง “แช่ง” คู่แข่งอีกด้วย

“คู่แข่ง” เจอทีมอะไร

เชียร์อีกทีมทันที

…ประมาณนั้น

“พรีเมียร์ลีก” วันนี้ไม่ได้เป็นแค่ “กีฬา” ธรรมดา

แต่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนเป็นพันหรือหมื่นล้าน

ต้องเล่นกับ “ความรู้สึก” ของแฟนบอล

ต้องเติม “คน” ให้เป็นแฟนคลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“วิธีคิด” เรื่องการทำสโมสรฟุตบอลจึงซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม

สมัยก่อน แค่ทำทีมให้ชนะมากที่สุดก็พอแล้ว

แต่วันนี้แค่ “ชัยชนะ” ไม่เพียงพอ

เพราะธุรกิจฟุตบอล เป็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนรูปแบบหนึ่ง

เสียเงินมาดูแล้วแค่ชนะอย่างเดียวไม่พอ

ต้องสนุกด้วย

นึกถึงตอนที่เราเสียเงินเข้าไปเชียร์ทีมที่เรารัก

ทีมชนะ

แต่เล่นไม่สนุก

อุดแล้วอุดอีก

เอารถบัส 3-4 คันมาจอดหน้าประตู

นานๆ จะบุกไปยิงประตูเสียที

ลูกที่ยิงได้ก็ฟลุกอีก

ต่อให้ทีมของเราจะชนะ

แต่ก็เสียดายตังค์

เพราะไม่สนุก

ถ้าทีมไหนชนะ แต่เล่นไม่น่าประทับใจ

ทีมนั้นจะเติมแฟนบอลใหม่ๆ ได้น้อย

คนที่เป็นแฟนบอลจะมี “ภาพจำ” ของทีมตัวเอง

ผมเป็นแฟน “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็จะมี “ภาพจำ” ของทีมในยุค “อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”

นักเตะที่สู้จนวินาทีสุดท้าย

ต่อให้โดนนำ ถ้าเวลายังเหลืออยู่

แฟนผีก็ยังมีหวัง

แมน ยูฯ ยุค “เฟอร์กูสัน” จะยิงประตูในนาทีท้ายๆ ได้เป็นประจำ

นั่นคือ ที่มาของคำว่า “เฟอร์กี้ไทม์”

ดูบอลแบบมีลุ้นตลอด

แบบนี้ถึงจะสนุก

แฟนบอลทีมอาร์เซนอลก็คงเหมือนกัน

ผมเชื่อว่าเขาคงมี “ภาพจำ” ของทีมสมัย “อาร์เซน แวงเกอร์” ยังรุ่งเรือง

นึกถึง “เธียรี่ อองรี-แพทริก วิเอร่า-เดนนิส เบิร์กแคมป์”

นึกถึงการต่อบอลแบบเท้าถึงเท้า

สไตล์แบบนั้นที่เขาถวิลหา

เช่นเดียวกับทีมลิเวอร์พูล

ถ้ารุ่นผมจะนึกถึงยุค “เครื่องจักรสีแดง” สมัย “จอห์น บาร์น-เอียน รัช”

เล่นบอลสนุกมาก

เหมือน “เครื่องจักร” ที่ถล่มคู่ต่อสู้ไม่หยุด

ครับ นั่นคือ “ภาพจำ” ในใจ “แฟนบอล”

และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการดึงนักบอลรุ่นเก่าๆ มาคุมทีมในวันนี้

เพราะผู้จัดการทีมใหม่ๆ ที่เข้ามาไม่เข้าใจ “จิตวิญญาณ” ของทีมเท่ากับนักเตะ

สังเกตไหมครับว่า นักเตะเก่าที่เข้ามาคุมทีม

ทุกคนจะพูดเหมือนกันว่าจะดึง “จิตวิญญาณ” ของทีมกลับมาอีกครั้ง

เล่นแบบสมัยที่เขาเป็นนักเตะ

จะมีเพียง “เจอร์เก้น คลอปป์” ของหงส์แดงเท่านั้นที่ไม่ใช่ “นักเตะเก่า”

แต่เขาสามารถทำทีมให้กลายเป็น “เครื่องจักรสีแดง” อีกครั้ง

ใครเป็นแฟนหงส์ยุคนี้จะมี “ความสุข” มาก

เพราะทั้งชนะและสนุก

คล้ายๆ กับตอนที่ “โซลชา” มาคุมทีมผีแดงใหม่ๆ

10 นัดแรก หอมหวานมาก

นึกถึงภาพเก่าๆ สมัย “เฟอร์กี้” เลย

แต่พักเดียว “เฟอร์กี้ไทม์” กลับเปลี่ยนไปคนละทิศ

สมัยก่อน โดนนำ จะยิงคืนได้นาทีท้ายๆ

แต่วันนี้ แฟนผีจะต้องลุ้นทุกครั้งกับ “โซลชาไทม์”

5 นาทีสุดท้าย

ถ้าไม่โดนยิงตีเสมอ

ก็แพ้เลย

ตอนนี้ผมเริ่มจับทาง “โซลชา” ได้แล้ว

เขาคงรู้แล้วว่า “หงส์แดง” ปีนี้แรงมาก ไล่ยังไงก็คงไม่ทัน

นโยบายของแมน ยูฯ จึงพุ่งเป้าไปที่การสร้างมิตร

ทีมเล็กๆ จะตกชั้น ก็แจกแต้มให้

รู้ว่าแฟนหงส์ชอบเสียดสีเรา

เจอทีมใหญ่ๆ อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซี ฯลฯ ก็ช่วยตัดคะแนนให้

ไม่ชนะก็เสมอ

ถือเป็นการช่วย “หงส์” ให้ได้แชมป์ที่รอคอยมานาน 29 ปี

นี่คือ กลยุทธ์การขุดหลุมดัก “คู่แข่ง”

คิดดูสิครับ ถ้าได้แชมป์แล้วยังมาล้อเลียนอีก

คนก็จะได้รู้เลยว่า “แฟนหงส์” นิสัยไม่ดี

ไม่รู้จักบุญคุณ

เห็นไหมครับว่า “โซลชา” ล้ำลึกแค่ไหน