ขอบคุณข้อมูลจาก | เมนูข้อมูล |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2560 |
ผู้เขียน | นายดาต้า |
เผยแพร่ |
ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราเจ็บปวดหากรู้สึกโดดเดี่ยว ถูกเกลียดชัง ขณะที่มีความสุขเมื่อรู้สึกว่าได้รับการยอมรับ เป็นที่รัก
เราต่างต่อสู้ และสร้างในสิ่งที่เชื่อว่าจะได้รับการยอมรับ และถูกรัก และทำลายไม่ว่าอะไรก็ตามที่คิดว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางให้ไม่ได้รับการยอมรับ การถูกรัก
ที่โหยหาอำนาจ ความร่ำรวย ความยิ่งใหญ่ทั้งหลาย กระทั่งความขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ดีงาม หรือในอีกด้านหนึ่งคือการสยบยอม
มนุษย์เรายอมทำลายแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาที่เป็นธรรมชาติของตัวเอง เพื่อแปลงเป็นสิ่งที่คิดว่าสวยงามกว่าขึ้นมาเพื่อสนองตอบต่อสัญชาตญาณนี้
การทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ และทำลายสิ่งที่คิดไปว่าจะก่อให้เกิดความรังเกียจนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคมมนุษย์
เป็นเหตุที่เกิดจากด้วยถึงที่สุดแล้วมนุษย์จะสร้างอำนาจที่เหนือกว่าขึ้นมา กดข่มเพื่อให้เกิดการยอมรับ
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจที่ทำให้เกิดความกลัว หรืออำนาจที่ทำให้เกิดความรัก ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการสยบยอม
สังคมมนุษย์จึงขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณแห่งการช่วงชิงต่อสู้เพื่อความเหนือกว่า จึงเป็นสังคมที่มีแต่ความยุ่งยาก รุนแรง ไร้ความสุขสงบ
หากแต่มนุษย์เป็นสัตว์ฉลาด จึงมีพัฒนาการของการคิดค้นวิธีการจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งเรียกว่าการปกครอง ซึ่งหมายถึงกติกาการอยู่ร่วมกันโดยมีเป้าหมายที่ความสุขสงบ
การปกครองพัฒนามายาวนาน ผู้ปกครองต่างเรียนรู้และถ่ายทอดถึงศิลปะการสร้างอำนาจทั้งด้วยวิธีสร้างความกลัว และทำให้รัก
มีกฎระเบียบ กฎหมายที่จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ ด้วยการลงโทษผู้ละเมิด
พัฒนาการรูปแบบการปกครองเมื่อเดินมาถึงยุคนี้ “ระบอบประชาธิปไตย” ได้รับการยอมรับว่าเป็นพัฒนาการสูงสุดที่สากลโลกเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสงบสุขที่แท้จริงให้กับสมาชิกในสังคมได้ดีที่สุด
ไม่ใช่สงบเพราะขนหัวลุกด้วยความหวาดกลัว หรือหลงงมงายยอมเก็บงำความทุกข์ยากเพราะความรัก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการสยบยอมในภาวะของ “ทาส” ไม่ว่าจะเป็นทาสถูกบังคับด้วยอำนาจที่เหนือกว่า หรือสยบยอมเพราะ “รัก” ครอบงำ
“ประชาธิปไตย” คือหนทางที่ก่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์โดยเอื้อจิตวิญาณเสรีได้มากที่สุด
เป็นหนทางแห่งการยอมรับ “ความไม่เหมือนกัน” รับรู้ถึงความแตกต่างของเพื่อนในสังคม แต่อยู่ร่วมกันในความแตกต่างนั้น โดยไม่ไปคุกคาม กดข่ม หรือทำให้คนที่แตกต่างจากตัวเองเดือดร้อน
สังคมมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับว่าพัฒนาแล้ว ยึดถือแนวทางที่จะอยู่ร่วมกันด้วยการช่วยกันสร้างจิตสำนึกประชาธิปไตย
แม้แต่ประเทศที่รับรู้กันอยู่ว่าผู้ปกครองใช้อำนาจแบบเผด็จการคือ สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนในสังคมเพื่อบังคับให้ได้รับการยอมรับ ยังพยายามที่จะเรียกการปกครองประเทศตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย
ประเทศไทยเราถึงวาระที่บอกว่าอยู่ระหว่างการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย
ในเงื่อนไขที่ว่าจะต้องสร้าง “ความปรองดอง” ให้เกิดขึ้นเสียก่อน
ความน่าสนใจอยู่ที่ “ปรองดอง” ที่กำลังสร้างกันอยู่นี้ เป็นไปเพื่อ “เปิดทางให้วิญญาณเสรีได้อยู่อย่างยอมรับความแตกต่างร่วมกัน”
หรือเพื่อ “กดข่มให้สยบยอมกับอำนาจที่แสดงออกถึงความพร้อมที่จะขจัดทิ้งความแตกต่าง”
และที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ “นักการเมือง” ที่ประกาศตนว่าอาศัยเสื้อคลุมของ “ประชาธิปไตย” ขึ้นมาสร้างการยอมรับจากประชาชน
เห็นและร่วมกันนำพา “ปรองดอง” ไปในทิศทางใด