ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2562 - 2 มกราคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
ไฟป่าออสเตรเลียแผลงฤทธิ์เผาบ้านเรือน ป่าไม้ ทุ่งนา เรือกสวนหลายล้านไร่นับตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา กระทั่งถึงวันนี้ ฤทธิ์ยังไม่หมดสิ้น แถมยังมีแนวโน้มว่าจะลุกไหม้กินเวลาอีกยาวนานจนกว่าฝนจะตกกระหน่ำไปทั่วทวีป
นอกจากไฟป่าโหมกระพือ เขม่าควันฟุ้งกระจายคลุมท้องฟ้า ชาวออสซี่ยังเจอภัยแล้ง คลื่นความร้อน อุณหภูมิพุ่งสูง ต่างพากันเครียด เศร้าหมอง วิตกจริต
บางคนเป็นทุกข์หนักจากเหตุไฟเผาบ้านเรือนทรัพย์สินพินาศสิ้นเนื้อประดาตัว บางคนเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเพราะสมาชิกครอบครัวเสียชีวิตในเปลวเพลิง
สื่อออสซี่ประโคมข่าวมหันตภัยมาตลอด จนกระทั่งเกิดจุดพีกสุดเมื่ออาสาสมัคร 2 คนประสบอุบัติเหตุรถคว่ำเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปช่วยดับไฟป่าในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์
สื่อไปตามเบื้องหลังครอบครัวอาสาสมัครทั้งสองคนพบว่ามีลูกยังเล็ก หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และเป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นก่อนเทศกาลคริสต์มาสเพียงไม่กี่วัน
ท่ามกลางภาวะวิกฤตอย่างนี้ ชาวออสซี่จึงร้องหาผู้นำประเทศให้หันมาดูแลเอาใจใส่ผู้ทุกข์ยากอย่างรวดเร็วฉับพลัน
แต่ทว่า นายสกอตต์ จอห์น มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ไม่อยู่ในประเทศ
สื่อไปขุดหาข่าวพบว่านายมอร์ริสันลาพักร้อนพาครอบครัวไปพักผ่อนที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา
นี่จึงเป็นประเด็นปลุกให้ชาวออสซี่โกรธแค้น รุมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
ในโซเชียลมีเดียของออสเตรเลีย มีคำถามฮิตสุดๆ แพร่ไปทั่วว่า “คุณไปอยู่นรกขุมไหนรึ?”
คุณในที่นี้หมายถึงนายมอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนี่แหละ
นายมอร์ริสันได้รับรายงานจากหน่วยปราบไฟป่าว่าปฏิกิริยาของผู้คนร้อนแรงแค่ไหน จึงตัดโปรแกรมพักผ่อนทิ้งแล้วเดินทางกลับออสเตรเลียพร้อมคำแถลงขอโทษแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่เสียชีวิตจากไฟป่า
กระนั้นนายมอร์ริสันยังยืนกรานว่า แผนปฏิบัติการกู้ภัยฉุกเฉินดับไฟป่าของออสเตรเลียดีที่สุดในโลก
นักข่าวถามว่า ภาวะโลกร้อนมีผลต่อการเกิดไฟป่าทั่วออสเตรเลียหรือไม่ นายมอร์ริสันแย้งว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับไฟป่าที่เกิดขึ้น
นายกฯ ออสซี่คนนี้ยังหนุ่มแน่น อายุเพิ่ง 51 ปี เป็นหัวหน้าพรรคลิเบอรัล อนาคตน่าจะไปไกล แต่ตอนนี้สะดุดขาตัวเองล้มอย่างแรงเพราะตัดสินใจพลาด ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป
วิกฤตการณ์เกิดขึ้นในออสเตรเลีย คาดว่าเป็นจุดเปลี่ยนกระแสสังคม โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องโลกร้อนจะเป็นประเด็นใหญ่ เพราะทุกคนผ่านประสบการณ์ตรงทั้งจากอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น คลื่นความร้อนแผ่ปกคลุมพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน และไฟป่าเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั่วประเทศ
สื่อฉายภาพให้เห็นสภาพบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาจนราบเรียบเหลือแค่กองขี้เถ้า
ผู้คนหนีรอดจากไฟป่าร่วมกันเล่าถึงเหตุการณ์ผ่านมาเปรียบเหมือนอยู่ในนรก มองไปตรงไหนก็เห็นแต่เปลวเพลิงร้อนระอุ
ภาพของนักผจญเพลิงในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ต้องใช้กำลังมากถึง 7 หมื่นคนตะลุยสู้กับไฟป่าอย่างหนักหนาสาหัส ขณะที่ไฟลุกไหม้พร้อมๆ กันนับ 100 จุด
หัวหน้าหน่วยกู้ภัยรับสารภาพกับสื่อว่า สภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยให้ไฟป่าแผดเผาอย่างไม่สิ้นสุด ทั้งจากอุณหภูมิร้อนจัด กระแสลมแรง อากาศแห้ง ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ โอกาสจะดับไฟให้หมดสิ้นยากมาก มีทางเดียวต้องรอว่าเมื่อไหร่ฟ้าจะเมตตาโปรยสายฝนลงมา
เฉพาะรัฐนิวเซาท์เวลส์ ฝนไม่ได้ตกมานานกว่า 12 เดือนแล้ว จึงเป็นวิกฤตภัยแล้งหนักสุด
ตั้งแต่เกิดไฟป่า ผู้บริหารรัฐนิวเซาท์เวลส์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินถึง 2 ครั้ง เพื่อให้หน่วยกู้ภัยเข้าไปสกัดไฟป่าได้คล่องตัว
ส่วนอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นนั้น สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของออสเตรเลีย เปิดสถิติของเดือนธันวาคมปีนี้ อุณหภูมิในเมืองแอดิเลดของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย 45.3 ํc และที่เมืองนูลลาร์บอร์ 49.9 c
นี่ยังไม่สิ้นธันวาคม แต่สถิติถูกทำลายไปเรียบร้อย
นอกจากอุณหภูมิเพิ่มสูงแล้ว คลื่นความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วฝั่งตะวันออกของทวีปออสเตรเลีย เป็นผลของปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Indian Ocean Dipole (IOD) มีสาเหตุจากอุณหภูมิผิวน้ำทะเลทางตอนใต้ด้านตะวันออกของมหาสมุทรอินเดียบริเวณเขตศูนย์สูตร เย็นขึ้นอย่างผิดปกติ
ขณะที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลด้านตะวันตกของมหาสมุทรอินเดียเขตศูนย์สูตรอุ่นขึ้นผิดปกติ
ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ออสเตรเลียมีอากาศร้อนจัด คลื่นความร้อน และยังกระทบต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีทั้งฝนตกหนักและภัยแล้งในหลายพื้นที่
นักวิทยาศาสตร์ออสซี่บอกว่า ปรากฏการณ์ IOD ที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงที่สุดในรอบ 60 ปี
มหันตภัยที่ออสเตรเลียเผชิญยังได้สร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
นักวิเคราะห์ประเมินว่า นครซิดนีย์มีรายได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเฉลี่ยวันละ 1,200 ล้านเหรียญ แต่ไฟป่าที่ลุกโชนในพื้นที่ใกล้กับนครซิดนีย์ ทำให้เกิดเขม่าควันปลิวว่อน เท่ากับสร้างความเสียหายให้กับเมืองราวๆ วันละ 50 ล้านเหรียญออสเตรเลีย
ความเสียหายเกิดจากเขม่าควันทำให้ผู้คนเจ็บป่วย ไม่สบาย ไปทำงานไม่ได้
ฝ่ายประกันภัยบอกว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ผู้เสียหายขอยื่นเคลมประกันไปแล้ว 240 ล้านเหรียญ และตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนเพราะสถานการณ์ยังไม่จบ
ชาวออสซี่ซึมซับประสบการณ์อันขมขื่นอย่างนี้ จึงประเมินได้ว่าการเมืองออสซี่และแนวนโยบายเรื่องภาวะโลกร้อนจะต้องเปลี่ยนไปด้วย
ก่อนหน้านี้ออสเตรเลียแสดงอาการเฉยๆ กับปรากฏการณ์โลกร้อน ด้วยเหตุว่าเป็นประเทศผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่ที่สุดของโลก
แม้ถ่านหินเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้สภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างวิปริต
แต่พรรคการเมืองใหญ่ๆ ในออสเตรเลียต่างได้รับทุนสนับสนุนจากนายทุนถ่านหิน จึงไม่ผลักดันนโยบายแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเข้มข้นเหมือนประเทศพัฒนาอื่นๆ
ออสเตรเลียยอมเซ็นสัญญาข้อตกลงปารีสว่าจะร่วมลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศให้ได้ 26-28 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573 เพราะกลัวตกเวทีโลก
เมื่อไม่นานมานี้สหประชาชาติประเมินผล ปรากฏว่าออสเตรเลียลดการปล่อยก๊าซพิษน้อยมาก ไม่ได้ทำตามเป้าหมายของข้อสัญญาปารีส
นายมอร์ริสันบอกกับยูเอ็นว่า ออสเตรเลียสนับสนุนข้อตกลงปารีส แต่ต้องทำอย่างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบโลก สิ่งแวดล้อมกับอนาคตทางเศรษฐกิจของออสเตรเลีย
ลีลาการตอบอย่างเล่นลิ้นนั้น เพราะนายมอร์ริสันยังเลือกเศรษฐกิจ “ถ่านหิน” ส่วนโลกร้อนรุนแรงมากแค่ไหนอย่างไร ช่างหัวมันสิ!