ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
ไปดูโขน ตอน “สืบมรรคา” มาสนุกมาก
อยากให้คนไทยทุกวัยทุกรุ่นได้ดู และอยากให้ชาวต่างชาติทุกชาติได้ดูด้วย
เหมือนไปรัสเซียต้องไปดูบัลเล่ต์ ไปเวียดนามต้องไปดูหุ่นน้ำ ไปอเมริกาต้องดูละครบรอดเวย์ ไปญี่ปุ่นต้องดูละครโนะ พม่าดูหุ่นชัก ฯลฯ
มาไทยต้องดูโขน
เคยดูโขนกลางแปลงครั้งหนึ่งที่จังหวัดหนองบัวลำภู ราวปี พ.ศ.2554 โขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ซึ่งเป็นโขนกรมศิลป์ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ศูนย์วัฒนธรรม กทม.
ที่หนองบัวลำภูครั้งนั้นมีคนดูเต็มลานกลางแจ้งนับพันคน ได้ไปนั่งร่วมดูกับคุณยายและหลานตัวเล็กซึ่งหัวเราะสนุกสนานด้วยอารมณ์เดียวกันราวกับวัยเดียวกันนั่นเลย ถามคุณยายว่าเคยดูโขนมาก่อนไหม คุณยายตอบว่า
“ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยดูนี่แหละ”
เพราะฉะนั้น ที่ว่า “มาไทยต้องดูโขน” นั่นควรต้องแถมอีกประโยคว่า “คนไทยต้องดูโขน” อย่าให้ถึงขนาดปลุกเร้ารักชาติ คลั่งชาติว่า “เป็นไทยต้องดูโขน” เลย
แต่ “คนไทยต้องดูโขน” จริงๆ
สนุกสนานบันเทิงด้วยกันตั้งแต่ลูกหลานตัวเล็กไปจนถึงลุงป้าย่ายาย จบแล้วออกจากโรงก็ยิ้มแย้มให้กันเหมือนเป็นญาติมิตรร่วมทุกข์สุขมาด้วยกันนั่น
นี่คือเสน่ห์ของ “นาฏลีลา”
ครูเสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เคยจัดแสดงโขนประจำทุกเดือนที่เวทีศูนย์สังคีตศิลป์ธนาคารกรุงเทพ ประทับใจกับโขนตอน “นางลอย” ซึ่งกระชับจับใจมาก โดยเฉพาะตอนพระรามโศกเมื่อหลงคิดว่าสีดาตาย
พระรามแสดงโดยไม่แสดงอะไรเลย แค่ยืนนิ่งอยู่หน้าเวที แสงสลัวมัว และเสียงเดี่ยวปี่ในเพลงพญาโศกเท่านั้น
เท่านี้จริงๆ ที่สะกดคนให้เงียบงันทั้งโรง แทรกเสียงสะอื้นจากบางคนกับหยาดน้ำตาคลอไหลอย่างเงียบๆ ได้จริง
ได้สัมผัสกับทำนองเพลงพญาโศกจากเสียงปี่อันเสมือนกังวานออกมาจากจิตวิญญาณ ปราศจากเสียงอื่นรบกวน
ดังเวทีทั่วไปที่มักแทรกเสียงบรรยายอธิบายเรื่องและความรู้สึก เหมือนกลัวว่าคนดูจะไม่รู้เรื่อง ซึ่งที่จริงจะไม่รู้เรื่องก็ด้วยเสียงแทรกบรรยายนี่แหละ
เสียงปี่เพลงพญาโศกล้วนๆ นี่ต่างหากที่ทำให้เราได้เพ่งพินิจภาพพระรามโศกในบรรยากาศที่ชวนให้ระลึกถึงเรื่องราวการพลัดพรากของพระรามและนางสีดา เช่นเราผู้เป็นมนุษย์ปุถุชนได้เคยพานพบพลัดพรากมาแล้วเช่นกัน
โขนตอน “สืบมรรคา” เป็นอีกตอนหนึ่งที่พัฒนาการแสดงด้วยฉากและเวทีให้ทันอกทันใจและทันยุคสมัยยิ่งขึ้น
มีฉากใหญ่ๆ เช่น หนุมานแปลงกายตัวโต เอาหางเป็นสะพานทอดข้ามน้ำกว้างให้กองทัพเดินข้ามได้ ฉากผีเสื้อสมุทรตัวโตอยู่กลางเวทีที่จำลองเป็นมหาสมุทรให้หนุมานเผ่นโผนผลุบเข้าปากแล้วผ่าทองแหวกพุงนางยักษ์โผล่ออกมา ดังบท
เมื่อนั้น นางผีเสื้อสมุทรยักษี
กายาใหญ่หลวงพ่วงพี อยู่ที่กลางสมุทรผุดขึ้นมา
ผันแปรแลเห็นวานร จะเหาะข้ามไปนครยักษา
กระเดาะปากกระดากลิ้นเหลือกตา ขึ้นขวางหน้าหนุมานด้วยฤทธี
โขนตอนนี้มีสองช่วง ดังเรียกเป็น “องก์”
องก์ 1 มีหกฉาก คือ พลับพลาสระบัว เมืองมายันเมืองร้าง แม่น้ำใหญ่ เขาเหมติรัน ถ้ำนอสัมพาที และกลางทะเล
องก์ 2 มีห้าฉากคือ รบนางอังกาศตไล ตำหนักในกรุงลงกา สวนขวัญกรุงลงกา รบอินทรชิต และลานประหารหน้าเมืองลงกา
มีพักครึ่งระหว่างช่วงหรือระหว่างองก์ด้วย
สืบมรรคา เป็นโขนตอนที่รวมตัวเอกในเรื่องรามเกียรติ์ไว้แทบทั้งหมด โดยเฉพาะพระราม พระลักษมณ์ นางสีดา ทศกัณฐ์ หนุมาน รวมทั้งตัวเอกในไพร่พลยักษ์ลิง
สืบมรรคาก็คือการส่งทหาร โดยเฉพาะหนุมานออกสืบเสาะ คือสืบค้นหาเส้นทางเข้าสู่กรุงลงกาก่อนยกทัพเข้าพิชิตเจ้าลงกาพาสีดากลับคืน
เขมานันทะ หีอ โกวิท เอนกชัย ศิลปินแห่งชาติผู้ล่วงลับ เคยตีความเชิงถอดรหัสธรรมเรื่องรามเกียรติ์ ว่า คือการเดินทางของจิตที่แสวงนิพพานนั่นเอง
พระรามคือจิต สีดาคือนิพพาน
เหล่าสมุนพระรามคือตัวแทนของบรรดากำลังแห่งธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล
พญายักษ์ทั้งหลายคือสัญลักษณ์ของกิเลส ดังเรียกกิเลสมารนั้น เป็นฝ่ายอกุศล
ศึกระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ก็คือศึกของมนุษย์กับกิเลส อันมีนิพพานคือความดับสิ้นซึ่งกิเลสที่เป็นเหตุของทุกข์นั่นเอง
นักปฏิบัติธรรมที่เป็นสัมมาปฏิบัติ พิจารณาโขนรามเกียรติ์ก็จะถอดรหัสธรรมนำอธิบายได้ในทุกขั้นตอนจนอาจถึงบรรลุธรรมได้นั่นเลยทีเดียว
อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เคยตีความว่า รามเกียรติ์เป็นมหากาพย์ของชนเผ่าอารยันในอินเดียเหนือ ทำสงครามเอาชนะชนเผ่าทมิฬในอินเดียใต้ ก่อนจะรวมเป็นประเทศอินเดียหนึ่งเดียวนี่เอง
จะอย่างไรก็ตาม คติพราหมณ์ที่มีเทพเป็นองค์มูรตินี้ก็เป็นหลักคิดใหญ่ในโลกตะวันออก มีอิทธิพลส่งถึงประเทศไทยเราให้แปรเป็นศิลปวัฒนธรรมหลากหลายจนกลายเป็นวิถีชีวิตแบบไทยๆ จนถึงปัจจุบัน
อันดูได้จากโขนไทย ที่คนไทยต้องดู