ขอบคุณข้อมูลจาก | สิ่งแวดล้อม |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 17 - 23 กุมภาพันธ์ 2560 |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน [email protected] |
เผยแพร่ |
ปรากฏการณ์หิมะตกในหลายๆ พื้นที่ของประเทศสเปนเมื่อกลางๆ เดือนมกราคมที่ผ่านมาสร้างความงุนงงสงสัยให้กับชาวสเปนเป็นอย่างมาก
บางพื้นที่หิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบ 118 ปี
แถบพื้นที่ชายหาดติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก็มีหิมะตกขาวโพลน เป็นภาพแปลกตา
เมืองเมอร์เซีย (Murcia) อยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เนียน มีอุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมกราคมอยู่ที่ 17 องศาเซลเซียส แต่วันที่หิมะตก อุณหภูมิลดวูบ -7.5 องศาเซลเซียส
ชาวเมอร์เซียเคยเห็นหิมะตกครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2526
ปรากฏการณ์หิมะตกทางตอนใต้สเปน บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าโดยรวมระหว่างสเปนกับประเทศต่างๆ ในยุโรปด้วยเหตุว่าอากาศวิปริตแปรปรวนทำให้พืชผักผลไม้ที่ปลูกในพื้นที่ดังกล่าวมีผลผลิตลดลง
ปกติแล้วแถบเมดิเตอร์เรเนียนมีอากาศอบอุ่นตลอดปี และเป็นแหล่งผลิตพืชผักผลไม้ส่งให้ซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปราว 30 เปอร์เซ็นต์
เมื่ออากาศเกิดวิปริตแปรปรวน ร้านค้าหลายแห่งทั้งในอังกฤษและยุโรปซึ่งนำเข้าสินค้าเกษตรจากสเปน ประสบปัญหาขาดสินค้า ต้องประกาศแบ่งสรรปันส่วน ผักบางชนิดอย่างเช่น บร็อกเคอลี่ หรือผักกาดหอม ซื้อได้คนละไม่เกิน 3 หัว
ผู้บริโภคอังกฤษพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น บางคนถึงกับเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษปรับปรุงระบบเกษตรกรรมเสียใหม่ อย่าพึ่งพาต่างชาติเพียงแหล่งเดียว
ผู้เชี่ยวชาญการค้าประเมินว่าพืชผักผลไม้ส่งจากสเปนเข้าสู่ตลาดในยุโรปอาจขาดแคลนไปถึงเดือนเมษายน
นักสิ่งแวดล้อมชี้ว่าหิมะตกหนักทางตอนใต้ของสเปนเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน และแนวโน้มในอนาคตพื้นที่ทางภาคใต้ของยุโรปจะเกิดผลกระทบจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
นั่นเป็นข่าวคราวล่าสุดของปรากฏการณ์หิมะตกในสเปน
ทีนี้มาว่ากันต่อเรื่องของ “รายงานการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศและสวิตเซอร์แลนด์ 2050”
รายงานชิ้นดังกล่าว รวบรวบข้อมูลระบบนิเวศน์ของป่าไม้ ทุ่งหญ้าและพื้นที่ชุ่มน้ำของสวิตเซอร์แลนด์
อย่างที่ทราบกันดีว่า สวิสให้ความสำคัญการบังคับใช้กฎหมายอย่างมากและชาวสวิสเคารพกฎหมาย
กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ฉบับแรกที่ออกมาในปี 2419 หรือ 141 ปีก่อนโน้นช่วยป้องกันการบุกรุกทำลายป่าอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ทุ่งหญ้าลดลงเพราะรัฐอนุญาตแบ่งสรรทำเป็นบ้านเรือน ถนนหนทางและโครงสร้างพื้นฐาน กระนั้นสัดส่วนพื้นที่ป่ายังคงเติบโตเพิ่มขึ้น
สวิสมองว่าป่าไม้นอกจากจะทำให้ระบบนิเวศน์มีความสมบูรณ์แล้วยังมีบทบาทสำคัญในการปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เช่น เมื่อเกิดหิมะหรือหินถล่ม หรือน้ำท่วม ป่าช่วยรับแรงปะทะ
แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศมีผลต่อระบบนิเวศน์ของสวิสในช่วง 50 ปีข้างหน้า
รายงานระบุว่า หากปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกเข้มข้น พื้นที่ป่าไม้ในสวิสจะขยายตัว ผลผลิตที่ได้จากป่าไม้จะมีมากขึ้น
ยังคาดการณ์อีกว่า ทิศทางการใช้พลังงานพลิกโฉม เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิลแพงขึ้น ผู้คนจะหันกลับมาใช้พลังงานความร้อนจากไม้แทน เพราะป่าไม้ขยายตัวเร็ว
พืชและสัตว์จากพื้นที่อื่นๆ จะขยายพันธุ์หรือเคลื่อนย้ายมายังดินแดนสวิสในปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พื้นที่แหล่งเพาะปลูกพืชเมืองหนาวขยับขึ้นไปทางเหนือที่มีอากาศเย็นกว่าและในอนาคตจะกลายเป็นพื้นที่หวงห้าม
ส่วนพืชหรือสัตว์ที่ชอบอากาศร้อนขยายพันธุ์ในเขตอบอุ่น สัตว์บางชนิดที่ไม่สามารถปรับตัวหรือย้ายถิ่นฐานมีแนวโน้มสูญพันธุ์
บรรดาวัชพืชทั้งหลายที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน อย่างเช่น แอมโบรเซีย (Ambrosia) กำลังแพร่ขยายทั่วสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งแต่เขตเจนีวา ไปถึงทิซิโน
เมื่ออากาศร้อน เกสรแอมโบรเซียจะฟุ้งกระจายไปทั่ว ทำให้ชาวสวิสเกิดอาการภูมิแพ้ หายใจติดขัดมากขึ้น
ส่วนวัชพืชชนิดอื่นๆ เช่น แบล็กกราสส์ กูสกราสส์ แพร่ขยายพันธุ์เมื่ออากาศเปลี่ยน อุณหภูมิเพิ่มขึ้น
แมลง หนอนและสัตว์เล็กๆ ที่เป็นศัตรูพืช จะเป็นอีกปัญหาของเกษตรกรสวิสเพราะศัตรูพืชเหล่านี้ชอบอากาศร้อน โดยเฉพาะหนอนข้าวโพด ด้วง เพลี้ยจะขยายพันธุ์เร็ว จากเดิม 1-2 รุ่นต่อ 1 ฤดูกาล ขยายพันธุ์เป็น 2-3 รุ่นต่อ 1 ฤดูกาล
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศมีผลต่อเชื้อราและแบคทีเรีย ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคชนิดต่างๆ อย่างเช่น โรคใบจุด ชอบอากาศเย็นๆ ช่วงต้นฤดูหนาว จะแพร่ระบาดเร็วทำลายไร่ข้าวโพดหรือไร่ธัญพืชเสียหายอย่างหนัก
สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์ หากพืชไร่ที่เป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารสัตว์ได้รับผลกระทบจากศัตรูพืชแพร่ระบาด ปริมาณอาหารสัตว์ลดลงมีผลต่อเนื่องกับแหล่งปศุสัตว์ด้วย
แต่หากควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สวิตเซอร์แลนด์จะได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ โดยเฉพาะผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นเพราะช่วงเวลาการเพาะปลูกนานขึ้น
จะเห็นได้ว่า ตัวแปรอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศมีหลากหลายมาก ในรายงานฉบับดังกล่าวจึงคาดการณ์ว่า เกษตรกรสวิสจะต้องปรับตัวใหม่ อาจต้องปลูกพืชที่ไม่ต้องพึ่งพาสภาวะภูมิอากาศ เช่น ปลูกผักไฮโดรโปนิกมากขึ้น
ในอนาคตเทคโนโลยีด้านเกษตรกรรมใหม่ๆ จะเข้ามามีบทบาทอย่างสูง รวมถึงวิธีการบริหารจัดการกับแหล่งเกษตรกรรมต้องปรับเปลี่ยนโฉม
เมื่อภาวะโลกร้อนทำให้ช่วงเวลาการเพาะปลูกยาวนานขึ้น ต้องใช้แรงงานคนหรือเครื่องจักรเก็บเกี่ยวเพาะปลูกเพิ่มขึ้น ในบางพื้นที่อากาศวิปริตแปรปรวน เย็นจัด ทำให้ผลผลิตเสียหาย
หน่วยงานอย่างเช่น กรมอุตุนิยมวิทยา หรือเมโทรสวิส จะมีบทบาทสำคัญในการพยากรณ์ภูมิอากาศในแต่ละช่วงเวลา
ถ้าพยากรณ์แม่นยำเที่ยงตรง เกษตรกรสามารถคำนวณวางแผนการเพาะปลูกที่แน่นอน