ก่อนปรับโครงสร้าง พปชร. มีการวัดพลังสามมิตร VS สมคิด ?

ถึงเวลาปรับโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หลังจากเสร็จศึกเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และได้เป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ถึงแม้จะเสียงปริ่มน้ำ แต่ก็อยู่มาเกินครึ่งปี

พรรคพลังประชารัฐก่อตั้งอย่างเป็นทางการ และมีการประชุมสามัญใหญ่ครั้งแรกในวันที่ 29 กันยายน 2561 โดยมีนายอุตตม สาวนายน กุมบังเหียน ทำหน้าที่หัวหน้าพรรค และมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ทำหน้าที่แม่บ้าน เป็นเลขาธิการพรรค มาตลอด 1 ปี 2 เดือน

แต่ในพรรคพลังประชารัฐก็ยังเกิดปัญหาขลุกขลักหลายประการ

โดยเฉพาะเรื่องการประสานงานกับ ส.ส.ในพรรค ตลอดจนการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล

เพราะพรรคพลังประชารัฐเองก็มีหลายก๊ก หลายเหล่า หลายมุ้ง คนที่จะทำหน้าที่แม่บ้านจะต้องเป็นคนที่มากบารมี สามารถเอา ส.ส.แต่ละก๊กให้อยู่ ในทางกลับกันก็จะต้องดูแลสารทุกข์สุกดิบให้ ส.ส.ด้วย

จนมีกระแสว่า ผู้ใหญ่ในพรรค ไปจนถึง ส.ส. ไม่พอใจการทำหน้าที่แม่บ้านของสนธิรัตน์

ที่ไม่เพียงไม่ดูแล ส.ส. แต่มีการว่าทุกครั้งที่ไปเยือน ส.ส.ในพื้นที่ต่างจังหวัด แทนที่เลขาฯ พรรคจะดูแล แต่กลายเป็น ส.ส.เจ้าของพื้นที่ต้องเป็นคนดูแลเลขาธิการพรรค ไม่เว้นแม้แต่ค่าอาหารในแต่ละมื้อ จนมีเสียงบ่นกันอุบในพรรค

และเมื่อถึงเวลาเรียกประชุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 21 ธันวาคม ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ จึงมีข่าวหนาหูว่าจะมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐเป็นแน่แท้

โดยมีชื่ออนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท หรือ “เสี่ยแฮงค์” เข้ามาทำหน้าที่แทน

แต่แล้วที่ประชุมเห็นชอบตั้งกก.บห.เพิ่มเติมอีก 17 คน ซึ่งทำให้ปัจจุบันมีกก.บห.รวมทั้งหมด 34 คน โดยได้ตั้งนายอนุชา นาคาศัย และนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นรองหัวหน้าพรรค เนื่องจากภารกิจของพรรคมีมากขึ้น จึงสะท้อนจากจำนวนกก.บห.และงานที่เราต้องทำรับใช้พี่น้องประชาชน จึงมีเพิ่มขึ้นมาจึงต้องเพิ่มรองหัวหน้าพรรคเข้ามา

ที่ผ่านมา อนุชา นาคาศัย มีบทบาทที่โดดเด่น ตั้งแต่การลุยหาเสียงเลือกตั้งที่เดินสายหาเสียงตั้งแต่เหนือจรดใต้ ไปทุกเวที ทุ่มสุดตัวมาโดยตลอด แต่ก็พลาดที่จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นการตอบแทน เพราะมีการเตะตัดขากันเองในพรรค

ทำให้เจ้าตัวตรอมใจอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะกลับมาทำหน้าที่ ส.ส. และยังต้องทำหน้าที่ดูแล ส.ส.ในสภา พร้อมทั้งประสานพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีผลงานที่โดดเด่นจนเข้าตาผู้ใหญ่ในพรรค

ที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า อนุชา นาคาศัย เป็น 1 ในแกนนำกลุ่มสามมิตร ที่มีสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การสนับสนุน อีกทั้งไม่มีคนในกลุ่มสามมิตรนั่งในตำแหน่งสำคัญในพรรค มีเพียงตัวอนุชา นาคาศัย ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น

งานนี้ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค จึงทุบโต๊ะสั่งให้มีการประชุม ซึ่งก่อนหน้านี้สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ลูกพี่ใหญ่ของสนธิรัตน์ได้ขอให้เลื่อนการประชุมใหญ่ออกไปก่อน เพราะยังต้องการให้คนของตัวเองอยู่ในตำแหน่ง

หากย้อนดูจะเห็นว่า สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่มี ส.ส.ในมือแม้แต่คนเดียว แต่สมคิดมีรัฐมนตรีในมือถึง 3 คน ทั้งอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยทั้ง 3 คนมีตำแหน่งสำคัญ ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และรองหัวหน้าพรรค

โดยในช่วงรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สมคิดมีรัฐมนตรีในมือถึง 4 คน ที่เคยได้สมญานามว่า “4 กุมาร” ซึ่งในปัจจุบันจะขาดก็แต่เพียงกอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วยตำแหน่งโฆษกพรรคพลังประชารัฐ

แต่วันนี้ สมคิดเหลือเก้าอี้รัฐมนตรี 3 ที่นั่ง และถูกยึดตำแหน่งโฆษกพรรคกลับคืนไปให้กลุ่มสามมิตร โดยให้ธนกร วังบุญคงชนะ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันเข้ามาทำหน้าที่แทน

สมคิดจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาเก้าอี้ทั้งรัฐมนตรี ทั้งกรรมการบริหารพรรค ไว้ในกำมือ และไม่ให้สนธิรัตน์หลุดจากตำแหน่งเลขาฯ ง่ายๆ เพราะหากพ้นเก้าอี้เลขาฯ ตำแหน่งรัฐมนตรีก็จะหลุดไปง่ายๆ เช่นกัน

และแน่นอนว่าคนที่จะมาเสียบเก้าอี้รัฐมนตรีคนต่อไปก็คงไม่พ้นอนุชา นาคาศัย เป็นแน่แท้ จึงต้องยื้อเอาไว้ให้ได้นานที่สุด

ทําเอา “บิ๊กป้อม” ถึงกับหัวร้อน ต้องไปหารือกับน้องรัก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

โดย “บิ๊กตู่” ให้อำนาจเต็มไปกับพี่ใหญ่ พี่ว่ายังไง น้องก็ว่าอย่างนั้น ถึงมีการส่งสัญญาณว่า ถ้ามีลาออกจากตำแหน่งเลขาฯ ก็เอาเก้าอี้รัฐมนตรีคืนมา

ทำให้ช่วงหลังๆ อนุชา นาคาศัย เข้านอกออกในบ้านพักในมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 เป็นว่าเล่น รับออเดอร์และประสานงานโดยตรง

ทำให้ภาพการขับเคลื่อนในพรรคดูสมูธกว่าให้สนธิรัตน์ทำหน้าที่

และบรรดา ส.ส.ในพรรคก็พอใจในตัวเสี่ยแฮงค์มากกว่า เพราะสามารถเข้าถึงพึ่งได้อย่างแท้จริง

แถมในพรรคยังมีการชูโมเดลว่า แกนนำกลุ่มสามมิตรล้วนผ่านตำแหน่งเลขาธิการพรรคมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งสมศักดิ์เคยทำหน้าที่เลขาธิการพรรคกิจสังคม สุริยะเคยทำหน้าที่เลขาธิการพรรคไทยรักไทย แล้วทำไมน้องเล็กอย่างเสี่ยแฮงค์ ที่เคยมีภรรยาอย่างนางพรทิวา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยมาแล้ว จะทำหน้าที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐไม่ได้

ก่อนที่จะมีรายงานข่าวแจ้งว่า สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อขอให้คงตำแหน่งเลขาธิการพรรคไว้ดังเดิม โดยอ้างเหตุผลว่า เนื่องจากสนธิรัตน์เคียงคู่กันมากับอุตตมตั้งแต่เริ่มแรกตั้งพรรค จนกระทั่งการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา และจัดตั้งรัฐบาล จึงควรที่จะทำงานควบคู่กันไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งหน้า

แต่ก็ไม่รู้ว่าสัญญาใจครั้งนี้ของสมคิด ที่พูดถึงการปรับ ครม.ครั้งหน้านั้น จะให้สนธิรัตน์ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค พร้อมทั้งสละเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับกลุ่มสามมิตรด้วยหรือไม่เพราะทุกวันนี้ กลุ่มสามมิตรมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มสามมิตรเข้ามาดูแล ส.ส. จึงได้เสียงสนับสนุนจากคนในพรรคไปเต็มๆ ทำให้อัตราต่อรองย่อมมีเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หรือ “เสี่ยเฮ้ง” จากกลุ่มชลบุรี ที่มีบทบาทสำคัญในพรรคก็ได้มาร่วมงานกับกลุ่มสามมิตร และกำลังขึ้นหม้อเป็นอย่างมาก

ดังนั้น กลุ่มสามมิตรที่มี ส.ส.ในมือจำนวนมาก ย่อมเสียงดังฟังชัดกว่ากลุ่มของสมคิดที่ไม่มี ส.ส.แม้แต่เพียงคนเดียว แต่กลับมีเก้าอี้รัฐมนตรีถึง 3 เก้าอี้ ต่างจากกลุ่มสามมิตรที่มีเก้าอี้รัฐมนตรีเพียงแค่ 2 เก้าอี้ ก็ต้องจับตาดูในอนาคตหากมีการปรับตำแหน่งใน ครม.เราอาจจะได้เห็นการจัดสรรปันส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีใหม่ก็เป็นได้