จรัญ พงษ์จีน : ความอนิจจังของพรรคการเมืองไทย

จรัญ พงษ์จีน

ช่วงนี้ “พรรคการเมืองน้อย-ใหญ่” ล้วนดำเนินตามกฎ “อนิจจัง” แห่งความไม่เที่ยง มีประเด็นดราม่า ต้องมานั่งเคลียร์กันหัวหมุนทุกพรรค

ก่อนหน้านี้ “ประชาธิปัตย์” พรรคของคนหัวสูง ฉลาดปราดเปรื่องทุกภูมิปัญญา เลย “อีโก้จัด”

มีประเด็นคลุกวงใน 6 ส.ส.สาย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เมินมติ “วิปรัฐบาล” แหกด่านมะขามเตี้ย “โหวตสวน” การตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาผลกระทบประกาศและคำสั่งของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ต้องออกโรงแก้เกมกันมือระวิง

แม้จะเคลียร์กันลงตัว สงบศึกกันเรียบร้อย แต่ได้แค่ “ระดับหนึ่ง” เพราะต้องเสียมือดีไป 2 หน่อ ได้แก่ “หมอวรงค์ เดชกิจวิกรม” และ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค”

ข้ามห้วยมาดูซีกฝ่ายค้าน “พรรคเพื่อไทย” ก็ไม่น้อยหน้ามีเรื่องหวือหวาน่าตื่นเต้น ได้ยินเสียงคลื่นสาดซัด ได้กลิ่นสาหร่าย เริ่มสัมผัสกลิ่นอายน้ำเค็ม หมายความว่า “กำลังจะออกทะเล”

ลมพายุพัดกระหน่ำรุนแรง ชิงการนำ เละตุ้มเป๊ะทั้งยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี หากไม่ประสานรอยร้าวกันให้ดีๆ เชื่อว่าช่วงเวลาทองคำ อาจจะเหลือแต่ “ตำนาน” ไว้เล่าต่อกับรุ่นลูกรุ่นหลาน

ระยะนี้จึงเป็นคาบเวลาที่ใหญ่หลวง เข้าที่คับขันเกินคำบรรยาย ต้องมากด้วยความระมัดระวัง…อย่าหาว่าหล่อไม่เตือน

ตามแนวนี้ “พรรคพลังประชารัฐ” แกนนำพรรครัฐนาวา “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” น่าจะอยู่ดีมีสุข “เวิร์ก” มากกว่าใครเขาเพื่อน

“เรือเหล็ก” น่าจะวิ่งฉิวปลิวลมสู่จุดหมายปลายทางได้สะดวกโดยง่าย เพราะมีปัจจัยเอื้อประโยชน์ให้หลายบริบท “รัฐธรรมนูญ 2560” ก็เป็นประเด็นหนึ่ง… “พรรคการเมืองคู่แข่งขัน” ต่างโดนโชคชะตาสาปส่ง อาการหนัก น่าเป็นห่วงกันตามๆ

“แต่…พปชร.” กลับดังแต่ท่อ ล้อไม่หมุน จมปลักดักดานซะงั้น

ล่าสุดมีหอกระจายข่าวป่าวประกาศว่า “พรรคพลังประชารัฐ” จะเรียกประชุมมวลสมาชิกสามัญประจำปี 2562 ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม เพื่อปรับจูนโมเมนตัม กรรมการบริหารพรรค แบบ “ยกเครื่อง” กันใหม่

 

ก่อนหน้านี้ก็หนหนึ่งแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา “พรรคพลังประชารัฐ” ได้แต่งตั้ง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ รองนายกรัฐมนตรี ฉีกตัวเองออกมาจากศูนย์อำนาจทหาร มานั่งแป้นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ตามคำเรียกร้อง

ข่าวหลายกระแสเชื่อว่า การที่ “บิ๊กป้อม” ยอมรับตำแหน่งใน พปชร. เพื่อเป็นศูนย์กลาง ตัวเชื่อมประสานกับ ส.ส.-นักการเมือง กับเครือข่ายทหาร น่าจะทำตามคำขอร้องของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มากกว่าอะไรอื่นทั้งหมด

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม “พล.อ.ประวิตร” ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค “เคาะ” แต่งตั้งหัวหน้าคณะทำงานรายภาค เดินตามรูปแบบเดียวกับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบ่งเป็นภาค 1-10 สลับฟันปลา เพียงแต่ให้ กทม.เป็น “ภาค 10”

หัวหน้าภาคประกอบด้วย “นายอนุชา นาคาศัย” ส.ส.ชัยนาท รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ภาคที่ 1 “นายสุชาติ ชมกลิ่น” ภาคที่ 2 “นายวิรัช รัตนเศรษฐ” ภาค 3 “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ภาค 4 “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ภาค 5 “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” ภาค 6 “พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์” ภาค 7 “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” ภาค 10

โดยในส่วนของสนามภาคใต้ ได้แก่ ภาคที่ 8 และ 9 ยังละไว้ หาบุคคลผู้เหมาะสมยังไม่ได้

อย่างไรก็ตาม มีการส่งสัญญาณว่าในการประชุมสามัญพรรค พปชร.ในวันที่ 21 ธันวาคม ที่โรงแรมมิราเคิลฯ จะมีการปรับโฉมโครงสร้างพรรคใหญ่ ชนิด “ยกเครื่อง” ทั้งกรรมการบริหารพรรคบางส่วนและเลขาธิการพรรค โดยเว้นไว้แต่เฉพาะ “หัวหน้าพรรค” ยังคงเป็นคนเดิมคือ “นายอุตตม สาวนายน”

ขณะที่เลขาธิการพรรค ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ จะผ่องถ่าย “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกจากตำแหน่ง และดัน “นายอนุชา นาคาศัย” รองประธานยุทธศาสตร์พรรคมาเสียบแทน

พปชร.มีคณะกรรมการบริหารพรรคจำนวน 24 คน อาทิ “วิเชียร ชวลิต” นายทะเบียนพรรค “พรชัย ตระกูลวรานนท์” เหรัญญิก

กรรมการประกอบด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-สุวิทย์ เมษินทรีย์-กอบศักดิ์ ภูตระกูล-อิทธิพล คุณปลื้ม-ชวน ชูจันทร์-พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ-ณพพงศ์ ธีรวร-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์-ชวลัยพร รัตนเศษฐ-วิเชฐ ตันติวานิช-ชาญวิทย์ วิภูศิริ-สราวุฒิ เนื่องจำนงค์-ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์-สุรพร ดนัยตั้งตระกูล-องอาจ ปัญญาชาติรักษ์-ธนิกานต์ พรพงษาโรจน์-สันติ กีรนันทน์” เป็นต้น

“โครงสร้างใหม่” ทาง “บิ๊กป้อม” ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค จะทลายนั่งร้านใหม่ โดยดันกลุ่ม “4 กุมารทอง” อันประกอบด้วย “อุตตม-สนธิรัตน์-สุวิทย์-กอบศักดิ์” พ้นจากตำแหน่งในพรรค ตัดขาดงานการเมือง เพื่อก้าวไปทำหน้าที่บริหารในรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ 2/1” อย่างเต็มตัว

ทิ้งโทนไว้เพียงหนึ่งเดียวคือหัวหน้าพรรค ที่ยังเป็น “อุตตม สาวนายน” เพราะหาบุคคลที่เหมาะสม มีบารมียังไม่ได้

จะเห็นได้ว่า ทีมบริหารพรรคใหม่ของ พปชร. กลุ่มที่จะเข้ามามีบทบาทคือกลุ่ม ส.ส. โดยเฉพาะ “กลุ่มสามมิตร” ที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “สมศักดิ์-สุริยะ”

เหตุที่หวยการเมืองใน พปชร.จะออกเยี่ยงนี้ เนื่องจากภายหลังที่ “บิ๊กป้อม” มาทำงานการเมืองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ในตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรค ลงมาคลุกฝุ่น ทำงานภาคสนาม ใกล้ชิดกับนักการเมืองมุ้งต่างๆ มากขึ้น

หูตาเริ่มสว่าง รู้แจ้งแทงทะลุถึงฤทธิ์เดชของคำว่าการเมืองภาคสนาม เข้าใจในบทบาทของ “นักเลือกตั้ง” ดีกว่าเดิม

ก้าวต่อไปเชื่อว่า บทบาทของ “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทั้ง ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อ มีฐานกำลังมากที่สุดใน พปชร.เวลานี้

จะพลิกตัวเองเข้ามามีบทบาทในพรรค พปชร.มากขึ้น เป็นเสาค้ำรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ

“กลุ่มสี่กุมาร” ที่ส่วนใหญ่ “ขาลอย” ไม่ได้เป็น ส.ส.ทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ จะค่อยๆ ลดศักยภาพลง เพื่อไปทำหน้าที่บริหารมากขึ้น