“เจเจ กฤษณภูมิ” : สิ่งที่เห็น ไม่ใช่ความจริง ภาพภายนอก-ความรู้สึกภายใน

“เวลาคนเห็นผมภายนอก หลายๆ คนจะรู้สึกเหมือนผมมีทุกอย่างแล้ว ชีวิตพร้อมแล้ว ครอบครัวก็ดี งานก็ดี เพื่อนเยอะ”

แต่เดี๋ยวก่อน เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม ขอทำความเข้าใจไว้ตรงนี้ว่า “มันไม่มีอะไรแบบนั้น”

ชีวิตที่เพอร์เฟ็กต์ไม่มีอยู่จริง

เจเจซึ่งทำงานเป็นทั้งนักร้อง นักแสดง และนายแบบ เล่าให้ฟังว่า เขากำลังมีผลงานชิ้นใหม่ เป็นซิงเกิลเพลง ชื่อ “EMPTY KING” และหนังสั้น “BLUE” ในโปรเจ็กต์พิเศษที่นาดาว มิวสิค จับมือบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ทำ ภายใต้ชื่อโครงการ HUMAN ERROR

“ตัวเพลงเริ่มมาจากผม” นี่เจเจเล่าถึงที่มาของเพลง ซึ่งเขารับหน้าที่แต่งร่วมกับรัฐ พิฆาตไพรี

เพลงที่เนื้อหาถ่ายทอดความรู้สึกอันเดียวดายของเขา ซึ่งถูกซุกซ่อนไว้ข้างใน ภายใต้ความสมบูรณ์แบบจากสายตาคนภายนอก และความต้องการที่พบความสุขที่แท้จริงของชีวิต

เพลงที่คนทำมุ่งหวังจะสื่อสารว่า ไม่มีใครหรอกที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

อย่างเขาที่ถูกมองอย่างนั้น ลึกๆ แล้วก็รู้สึกว้าเหว่

“สำหรับผม ตอนนี้ครอบครัวคืออันดับหนึ่ง แต่ว่าครอบครัวผมอยู่เชียงใหม่ แล้วผมมาอยู่ที่นี่ แล้วก็อยู่คนเดียว”

หลายครั้งเมื่อเสร็จงาน กลับไปเจอห้องที่ว่างเปล่า ความเหงาจึงเข้าจู่โจม

“ยิ่งเราทำงานที่เจอคนเยอะ บางทีมันทำให้เหมือนสติหลุด เคยเป็นไหมครับเวลาไปเจอคนเยอะๆๆๆ สนุกๆๆๆ กลับบ้านมาปึ๊บ ทุกอย่างนิ่ง ผมอธิบายฟีลลิ่งไม่ถูก แต่บางทีมันทำให้ปรับตัวไม่ทัน ซึ่งผมเจอมาตลอดกับความรู้สึกนี้ แบบเปิดประตูแล้วทุกสิ่งเงียบ”

เงียบจนเหงา และทำให้เขาต้องร้องไห้

ในวัย 23 ปี เจเจบอกว่า ถึงตอนนี้สิ่งต่างๆ ที่เขาเคยตั้งเป้าไว้ก็ทำได้สำเร็จทั้งหมด และตอนนี้ก็ยังไม่มีเป้าหมายใหม่ว่าอยากทำอะไรต่อ สิ่งเดียวที่นึกออกจึงเป็น “อยากกลับบ้านครับ”

กลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ และน้องชาย

“โกลในชีวิตที่ตั้งไว้เสร็จหมดแล้ว ทรัพย์สินของตัวเอง สร้างบ้านให้พ่อ-แม่ ซื้อรถ ซื้อคอนโดฯ เรียบร้อยหมด”

เป็นการเรียบร้อยเร็วเกินกว่าที่คาดไว้

ถามนักแสดงที่ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ท่ามกลางผู้คนและแสงสี เรื่องความเหงา เขาก็ยอมรับตรงๆ ว่า เป็นความรู้สึกที่มีมานาน

นานพอๆ กับการมาทำงานในกรุง โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังที่ปักหลักอยู่ยาว ไม่ใช่ไปๆ มาๆ เหมือนเมื่อก่อนนั่นแหละ

“ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเราต้องการอะไรจริงๆ เมื่อก่อนคิดว่า ต้องมีเงิน ต้องรวย ต้องมีชีวิตที่สุขสบาย อะไรอย่างนี้ แต่พอผมได้มันมารวดเร็ว สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ใช่ความสุขจริงๆ”

“สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เติมเต็มผมเท่าไหร่”

เรื่องที่เล่าผ่านเพลงไป ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยถ่ายทอดให้ครอบครัวฟัง ดังนั้น พอได้ทราบ ทุกคนก็เป็นห่วง

“ตอนนี้แม่จะทักมาบ่อย ด้วยข้อความที่เปลี่ยนไป มีความเป็นห่วงมากขึ้น มีความนุ่มนวลขึ้น”

“คือมันจะเป็นประโยคเดียวกันเลยกับแบบปกติ แต่ผมรู้สึกว่ามันมีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ เราคุยกับเขาทุกวัน แล้ววันนี้มันจะมีดีเทลอะไรที่ลึกซึ้งขึ้น เป็นไงบ้าง คิดถึงนะลูก มีอะไรโทร.หาแม่นะ” คือตัวอย่างที่เล่าพลางยิ้ม

ถ้ามองง่ายๆ ทางออกสำหรับเรื่องนี้ของเขาน่าจะแก้ได้ ถ้าชวนครอบครัวมาอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ หากในความเป็นจริง “ยังมีปัจจัยหลายๆ อย่างนะครับ” เจเจบอก

“เรายังไม่รู้อนาคต”

ทั้งเรื่องน้องชายว่าจะเรียนต่อที่ไหน ในกรุงเทพฯ หรือเปล่า เรื่องงานของแม่ที่ทำธุรกิจส่วนตัวที่เชียงใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเข้าไปดูแลใกล้ชิด รวมถึงเรื่องงานของเขาว่าจะมั่นคงไปจนถึงเมื่อไหร่

ครั้นเขาจะเป็นคนเปลี่ยนที่ โดยกลับไปอยู่เชียงใหม่ งานที่มี งานที่ชอบมาก อยากทำ ก็อยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก

สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ตอนนี้คือ ยังไม่รีบตัดสินใจ รอดูอะไรๆ ไปก่อน

เขายังเล่าถึงต้าเหนิง กัญญาวีร์ สองเมือง แฟนสาวด้วยว่า ตอนนี้ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี การที่เขาประกาศหารักแท้ในเพลง ต้าเหนิงก็เข้าใจ

“ตอนแรกที่ผมเขียน ก็เอ๊ย! ต้าเหนิงจะมีความรู้สึกอะไรหรือเปล่า เป็นแฟนกัน แล้วผมพูดว่าผมจะไปหารักจริงได้จากไหนอีก”

หากเมื่ออธิบายว่าเป็นแค่การเปรียบเปรยความรัก ว่าหมายถึงความสุขที่แท้จริง เธอก็เข้าใจและให้กำลังใจเขามากขึ้นเช่นกัน

กับงานชิ้นนี้ เจเจบอกว่า เมื่อทำออกมาแล้ว เขาย่อมคาดหวังในความสำเร็จ อยากให้เพลงดัง อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

“ผมมองกลับไปตรงพอยต์แรก ว่าเราอยากทำเพลง เพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบ แล้วพอได้ทำ สิ่งที่เราต้องการในเพลงนี้ คืออยากสื่อสารความเป็นเรา มุมมองที่คนอื่นไม่เคยเห็น และมุมมองนั้นสามารถเชื่อมโยงกับผู้ฟัง และทำให้เขารู้ว่าคนที่มีภาวะอย่างนั้น เขาไม่ได้อยู่คนเดียว”

แต่มีคนอื่นอีกมากมายที่อาจจะรู้สึกคล้ายๆ กัน

และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือคนที่ชื่อเจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม นี่แหละ