/ เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ปักหลักอยู่ยาว กองทัพพร้อมแบ๊กอัพ จับตาบทบาท ‘บิ๊กแก้ว’ กุมบังเหียนทัพไทย กับบท ‘พี่ใหญ่’ เหล่าทัพของบิ๊กกบ และสถานการณ์ที่ท้าทาย ‘บิ๊กแดง’

รายงานพิเศษ

 

เมื่อ ‘บิ๊กตู่’ ปักหลักอยู่ยาว

กองทัพพร้อมแบ๊กอัพ

จับตาบทบาท ‘บิ๊กแก้ว’ กุมบังเหียนทัพไทย

กับบท ‘พี่ใหญ่’ เหล่าทัพของบิ๊กกบ

และสถานการณ์ที่ท้าทาย ‘บิ๊กแดง’

 

แม้พรรคฝ่ายค้านประกาศจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในต้นเดือนมกราคม 2563 โดยมีเป้าหมายหลักที่ตัวนายกฯ ก็ตาม

แต่ดู พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้สะทกสะท้านหรือห่วงกังวลใดๆ มากนัก

อย่างน้อย บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็รอดจากการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะการเป็นรองนายกรัฐมนตรีเก้าอี้เดียว ไม่ได้คุมกระทรวง จึงลดการเป็นเป้าหมาย

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศว่า ตราบใดที่ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ รัฐบาลเรือเหล็กจะไม่แพแตก หรือไม่มีล่มแน่นอน

แม้จะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 18 พรรคก็ตาม

แต่ก็กำลังจะได้เสียงเพิ่มจาก 4 ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกขับออกจากพรรค เพราะสวนมติพรรค กลายเป็นงูเห่าสีส้ม ที่มีแนวโน้มจะเข้าซบพรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังประชารัฐที่จะทำให้มีเสียงเพิ่มขึ้น

จน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เรียกว่างูเห่า แต่เรียกว่าเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนที่กำลังหาบ้านหลังใหม่ หาที่พักพิง

รวมถึงการแสดงออกถึงความแนบแน่นในพรรคร่วมรัฐบาล ด้วยการจับมือกอดคอ ร้องเพลงโชว์ในงานเลี้ยงปีใหม่นักข่าวทำเนียบรัฐบาล สุดชื่นมื่น สยบข่าวเกาเหลา รัฐบาลแตก

โดยเฉพาะกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกจับตามองว่าจะคุม ส.ส.อยู่หรือไม่

หลังจาก 6 ส.ส.เคยปฏิบัติการโหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาลมาแล้ว จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกมาทวงสัญญาลูกผู้ชายของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

รวมถึงการขู่ที่จะปรับคณะรัฐมนตรีและยุบสภา รวมถึงการจะยึดเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์มาแบ่งให้พรรคเศรษฐกิจใหม่หากจะร่วมรัฐบาลในอนาคต

“ทำไมผมต้องเข้ามา ทั้งที่ผมไม่ได้อยากเข้ามา ทำไม ผมมาอยู่ตรงนี้ ทุกคนก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้บ้าอำนาจ ไม่ได้ต้องการอำนาจหรือต้องการผลประโยชน์ใด เพราะชีวิตนี้พอแล้ว พออยู่พอกิน จะกินอะไรนักหนา

 

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่าจะอยู่ยาว ด้วยเพราะมีปัจจัยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหลายปัจจัย หลายประการและหลายมิติ

จนก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์จึงกล้าที่จะพูดว่าอย่าเพิ่งเบื่อผม เพราะผมต้องอยู่ไปอีกนาน นานสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว

ที่มีการตีความกันว่าน่าจะมากกว่า 8 ปี หรือสองสมัย

เพราะหาก พล.อ.ประยุทธ์ยังใช้ความเป็นนายทหาร ที่มีอำนาจและบารมี ตรึงพรรคร่วมรัฐบาลให้อยู่ร่วมกันได้ ปัจจัยอื่นก็ไม่เป็นปัญหา

ทั้งนี้เพราะยังมีกองทัพแบ๊กอัพอยู่ และมีนายทหารที่ใกล้ชิดสนิทสนม เรียกได้ว่าเป็นน้องรัก คุมกำลังอยู่โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร

แม้ว่าบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. จะเกษียณราชการในเดือนกันยายน 2563

แต่ก็เชื่อกันว่า พล.อ.อภิรัชต์จะไม่ไปไหน ยังคงช่วยแบ๊กอัพ พล.อ.ประยุทธ์อยู่

ไม่ว่า พล.อ.อภิรัชต์จะอยู่ในตำแหน่งใด แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมืองก็ตาม

โดยที่กองทัพบก พล.อ.อภิรัชต์ก็วางตัวบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. นายทหารคอแดงไว้เป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป และมีอายุราชการยาวถึงกันยายน 2566

แล้ววางตัวบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ไว้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนต่อไป และมีอายุราชการถึงกันยายน 2566 เช่นกัน

อย่างน้อยก็สร้างความมั่นใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยังคงเป็นนายกฯ และเป็นรัฐบาลต่อไปจนครบสมัยแรก 4 ปี

โดยมีการวางตัวนายทหารระดับพลตรีและพลโท ที่เตรียมขึ้นมาตามไลน์ คุมกำลังและขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ในอนาคตต่อกันไว้แล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นนายทหารคอแดงที่เติบโตมาใน ฉก.ทม.รอ.904 ที่ พล.อ.อภิรัชต์ทำหน้าที่ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ ทม.รอ.904 นี้อยู่

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์

ขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทยเตรียมการสำหรับมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่

บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด เตรียมผ่องถ่ายงานให้บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ที่คาดว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ในตุลาคม 2563

หลังจากที่ พล.อ.อภิรัชต์ส่งตรงมาจาก ทบ. ข้ามฟากมาเสียบเป็น เสธ.ทหาร เมื่อโยกย้ายตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา อย่างไร้ปัญหาการต่อต้าน

เพราะรู้กันดีว่า พล.อ.เฉลิมพลได้รับการคัดเลือก กลั่นกรองมาแล้ว

เพราะถือเป็นนายทหารคอแดงที่อยู่ในหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) ที่ถูกส่งมาดูแล บก.กองทัพไทย

โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จาก พล.อ.อภิรัชต์ ทั้งในฐานะ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และในฐานะที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของ พล.อ.เฉลิมพล ที่แม้จะเรียนเตรียมทหาร 21 จปร.32 แต่ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เป็นเตรียมทหาร 20 และ จปร.31 ก็เคยเรียนร่วมชั้นด้วย จึงมีความสนิทสนมและรู้ฝีมือกัน

เพราะ พล.อ.เฉลิมพล เป็นนายทหารเหล่าม้า ที่เป็นคนเก่งของรุ่น และได้รับการยอมรับทั้งการเรียนและการเป็นผู้นำ รวมทั้งน้ำใจที่มีต่อเพื่อนพี่น้อง

พล.อ.อภิรัชต์จึงหนุนเต็มที่ และกรุยทาง เคลียร์ทางให้มาเป็น เสธ.ทหาร และจ่อเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนต่อไป

แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.พรพิพัฒน์จะได้วางตัวนายทหารที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ไว้แล้ว แต่ก็ต้องยอมอ้าแขนรับ พล.อ.เฉลิมพล

ส่งผลให้นายทหารเสือป่าแจ้งวัฒนะ ที่อยู่ในไลน์ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดในอนาคต ชีวิตต้องพลิกผัน

แถมทั้ง พล.อ.เฉลิมพลมีอายุราชการยาวถึงกันยายน 2566 เลยทีเดียว

 

แต่บรรยากาศใน บก.ทัพไทยก็เป็นไปด้วยดี ไม่ได้มีปัญหา ระหว่าง พล.อ.เฉลิมพล กับแคนดิเดต ผบ.ทหารสูงสุดก่อนหน้านี้ ที่ก็ล้วนทำใจแล้วว่า พล.อ.เฉลิมพลได้ถูกเลือกมาแล้ว

แม้จะไม่ค่อยได้เห็นออกงานหรือเดินร่วมทีมกับ พล.อ.พรพิพัฒน์บ่อยนัก เพราะเสนาธิการทหารมีงานต้องรับผิดชอบเยอะ เปรียบเสมือนแม่บ้านกองทัพไทย

รวมทั้งเป็นเลขานุการคณะผู้บัญชาการทหาร (ผบท.) ที่มี ผบ.ทหารสูงสุด เป็นประธานอีกด้วย

และ พล.อ.เฉลิมพลก็ไม่ค่อยชอบออกสื่ออยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการโปรโมตตัวเองคนเดียว ต้องการให้โปรโมตกองทัพมากกว่า

แต่ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็มอบหมายงานสำคัญๆ ให้ ทั้งการร่วมกับ ทบ. และ ทม.รอ. ในการจัดการแสดงทางทหารประกอบดนตรี ราชวัลลภเริงระบำ Hop to the bodies slams และกองทหารเกียรติยศ ที่ชนะการแข่งขันภายในกองทัพ เฉพาะพระพักตร์ พล.อ.หญิง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เมื่อ 9 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่โรงเรียนเตรียมทหาร นครนายก

ในฐานะที่ พล.อ.เฉลิมพลเป็นรอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 เป็นนายทหารคอแดงอยู่แล้ว

รวมทั้งการจัดพิธีสวนสนามและสวนสนามยานยนต์ ทั้ง ทบ. ทร. ทอ. และตำรวจ 40 กองพัน เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2562 และการถวายสัตย์ปฏิญาณตน เนื่องในวันกองทัพไทย 18 มกราคม 2563 นี้ ที่ค่ายอดิศร ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี

อันถือเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์จอมทัพไทย ครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน หลังทรงขึ้นครองราชย์

พิธีนี้จะต้องเรียบร้อย สง่างาม พร้อมเพรียง แข็งแกร่งเป็นที่สุด เพราะจะเป็นการแสดงออกถึงศักยภาพของกองทัพไทย และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี และกองทัพมีหน้าที่ปกป้องสถาบัน

ท่ามกลางความพยายามของขบวนการหมิ่นสถาบัน และโจมตีกองทัพ

ในการสวนสนามครั้งนี้ มีการสวนสนามยานยนต์ โดยมีกรมสวนสนามที่ 9 และกรมสวนสนามที่ 10 เป็นกรมยานยนต์ โดยจัดกำลังกรมละ 3 กองพัน

ที่มีการนำอาวุธยุทโธปกรณ์ชั้นนำที่ประจำในทุกเหล่าทัพมาร่วม ทั้งรถถัง รถเกราะ รถบรรทุกทางทหาร และเครื่องบินรบของ ทอ.

ทั้งรถเกราะ Stryker จากสหรัฐ รถเกราะยูเครน BTR 3E1

รถถัง VT4 จากจีน รถถัง T84 Oplot ยูเครน และรถฮัมวี่ย์ รถบรรทุกทางทหาร ปืนใหญ่ซีซาร์

จรวดหลายลำกล้อง และรถสะเทินน้ำสะเทินบก รวมยานยนต์ทั้งหมด 154 คัน

โดยมี ผบ.เนี้ยว พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน ผบ.พล.1 รอ. และเสนาธิการ ฉก.ทม.รอ.904 เป็นกำลังหลักในการจัดการฝึกซ้อม การจัดแถวสวนสนาม

พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน

ขณะที่ พล.อ.พรพิพัฒน์ ส่งท้ายการเป็น ผบ.ทหารสูงสุดปีที่ 2 ปีสุดท้าย ยังคงเน้นที่การสร้างความกลมเกลียว เป็นหนึ่งของ ผบ.เหล่าทัพ โดยมี ผบ.ทหารสูงสุดเป็นพี่ใหญ่

แต่ก็ไม่แยกปลัดกระทรวงกลาโหมออกไปจากเหล่าทัพ

โดยตั้งปลัดกลาโหมเป็นที่ปรึกษาคณะผู้บัญชาการทหาร (ผบท.) ที่มี ผบ.ทหารสูงสุด เป็นประธาน ร่วมด้วย ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. ผบ.ตร. และเสนาธิการทหาร เป็นเลขาฯ

คณะผู้บัญชาการทหารจะประชุมกันทุกๆ 2 เดือน ก่อนการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อหารือประเด็นสำคัญที่เป็นเรื่องวงใน หรือเรื่องลับ

เพราะโดยรุ่นแล้ว พล.อ.พรพิพัฒน์เตรียมทหาร 18 ก็ถือเป็นพี่ใหญ่ใน ผบ.เหล่าทัพ ที่มี พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. เป็น ตท.18 ด้วยกัน

ขณะที่บิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. บิ๊กนัต พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. และบิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ล้วนเป็นรุ่นน้องเตรียมทหาร 20 ทั้งสิ้น

พล.อ.พรพิพัฒน์จึงถือเป็นพี่ใหญ่ของเหล่าทัพ

แม้ว่าตามธรรมเนียมไทยๆ จะยกให้ปลัดกลาโหมยืนหัวแถวคนที่ 1 ก็ตาม แต่ปลัดกลาโหมเป็นสายบุ๋น ที่ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของ ผบ.เหล่าทัพ

อีกทั้งในยุคนี้ พล.อ.ณัฐเป็น ตท.20 รุ่นน้อง และมีอายุราชการถึงกันยายน 2564 เกษียณหลังสุด

แต่ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ยังให้ พล.อ.ณัฐยืนหัวแถว ผบ.เหล่าทัพตามธรรมเนียม

 

พล.อ.พรพิพัฒน์ให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังพล ทั้งการประสานกับศูนย์ศึกษาความมั่นคง

Asia-Pacific Center for Security Studies (APCSS) ของกลาโหมสหรัฐ ที่มลรัฐฮาวาย มาเปิดหลักสูตร Senior Security Studies Course-SSSC เพื่ออบรมให้ความรู้และมุมมองด้านความมั่นคงแก่นายทหารระดับสูงของกองทัพ

โดยจัดอบรมรุ่นแรก 21 คนไปแล้วเมื่อพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ที่ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ แหลมแท่น จ.ชลบุรี ที่ถือเป็นหลักสูตรประวัติศาสตร์

เพราะเป็นความฝันตั้งแต่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ที่จบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก Westpoint ที่เห็นความสำคัญในการสร้างนายทหารที่มีมุมมองด้านความมั่นคง ในระดับภูมิภาค และระดับโลก

รวมถึงการส่งเสริมบทบาทของทหารหญิง ด้วยการสนับสนุนให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ

และสนับสนุนสารวัตรทหารหญิง ให้เติบโต ทั้งการไปฝึก ศึกษา และการให้มาขับรถนำขบวนของ ผบ.ทหารสูงสุด เป็นครั้งแรกในยุคของ พล.อ.พรพิพัฒน์เอง เพราะมองว่า สห.หญิงมีความสุขุมนุ่มนวลกว่าในเวลาที่ต้องขอทางประชาชน

และสนับสนุนการออกกำลังกาย ทั้งการเป็นตัวอย่างในการขี่จักรยานทุกสัปดาห์ ตั้งชมรมจักรยาน และไปร่วมแข่งไตรกีฬานาวีฯ ที่สัตหีบ และแข่งวิ่ง Trail Running ของกลาโหม ที่จัดขึ้นตามไอเดียนายกฯ ที่เมืองกาญจน์

 

แต่บทบาทที่ลดลงไปคือ การให้สัมภาษณ์สื่อ หรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง

จากที่เคยนำทีม ผบ.เหล่าทัพ ยืนแผงแถลงจุดยืนต่อสถานการณ์ทางการเมืองและประเด็นต่างๆ ในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ

มาระยะหลังๆ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็เลี่ยงที่จะยืนแถลงข่าวด้วยตนเอง โดยมอบหมายให้ทีมโฆษกกองทัพไทยทำหน้าที่ในการแถลงผลประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์สื่อในประเด็นทางการเมือง

หลังจากที่เคยนำทีมผู้บัญชาการเหล่าทัพและปลัดกระทรวงกลาโหม ในนามคณะผู้บัญชาการทหาร แถลงอัดอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” กรณี “ฮ่องกงเอฟเฟ็กต์” การประพฤติตัวที่ไม่เหมาะสม ไม่รู้ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ และปลดออกจากการเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร ริบคืนรางวัลเกียรติยศจักรดาวมาแล้ว

ส่วน พล.อ.อภิรัชต์จะแสดงความคิดเห็น หรือให้สัมภาษณ์สื่อในประเด็นทางการเมือง ก็ถือเป็นเรื่องของกองทัพบก

เพราะในบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพ ต่างก็รู้ดีว่าเหตุใด พล.อ.อภิรัชต์จึงต้องออกมาแสดงความเห็นในทางการเมืองเป็นระยะๆ นั่นเอง

ตราบใดที่ฝ่ายการเมืองยังคงพุ่งโจมตีมาที่กองทัพและผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพราะมองว่าเป็นฐานอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการค้ำรัฐบาลและค้ำเก้าอี้นายกฯ ก็ยิ่งส่งผลให้กองทัพต้องลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่นับรวมการที่ พล.อ.ประยุทธ์ควบเก้าอี้ รมว.กลาโหมเอง

ดังนั้น กองทัพจึงต้องมีการแสดงศักยภาพออกมาเป็นระยะๆ โดยที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ พล.อ.อภิรัชต์

แต่ก็มีผู้บัญชาการเหล่าทัพพร้อมแบ๊กอัพอยู่เช่นกัน

ในขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มีแผนที่จะระดมม็อบลงถนน

หลังจากมีการทดสอบหยั่งเชิงหยั่งกระแสด้วยแฟลชม็อบมาแล้ว

ที่ก็ยิ่งทำให้กองทัพจับตามองความเคลื่อนไหวแบบไม่กะพริบ

ทั้งการเดินหน้าโจมตีเรื่องงบประมาณกองทัพ งบฯ กระทรวงกลาโหม การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เงินนอกงบประมาณ และการปลุกกระแสให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร จนมาถึงการปลุกม็อบลงถนน

ล้วนถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายความอดทนของ พล.อ.อภิรัชต์อย่างยิ่ง

รวมถึงความอดทนของ พล.อ.ประยุทธ์เองด้วย