ในประเทศ / สตาร์วอร์ส ‘กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์’

ในประเทศ

 

สตาร์วอร์ส

‘กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์’

 

ขณะที่เหล่าสาวกสตาร์วอร์สชาวไทยและทั่วโลก กำลังใจจดจ่อที่จะรอลุ้นได้ร่วมพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันตั้งแต่ 19 ธันวาคมนี้

ว่า สตาร์วอร์ส ตอนใหม่ ตอนที่ 9

“กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์” จะออกมาอย่างไร

ใหม่ และสนุก อย่างที่คาดหวังหรือไม่

ซึ่งความคาดหวังนี้

บังเอิญมาตรงกับเหตุการณ์ “ลุ้น” ทางการเมืองไทยพอดี

นั่นคือ การที่พรรคอนาคตใหม่ นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

เลือกเอา “สกายวอล์ค” สยามสแควร์ เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของพรรคการเมืองตนเอง

เริ่มต้นใหม่ หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ตกอยู่ในนานาสถานการณ์คับขัน

หัวหน้าพรรคถูกขับพ้น ส.ส. ไม่ให้ทำหน้าที่ในสภา

ขณะที่พรรคเองก็เผชิญชะตากรรมหนักหนาเช่นกัน เมื่อถูกประเมินว่าพรรคอาจจะถูกยุบ และกรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง

พรรคอนาคตใหม่ซึ่งมีอายุไม่ถึง 1 ปี ถึงคราวที่จะอวสานอย่างรวดเร็วจริงหรือ?

 

พรรคอนาคตใหม่จะรับมือ “วิกฤต” นี้อย่างไร

จะยอมรับชะตากรรมอย่างเซื่องๆ

หรือสู้ สู้ตามแนวทางแห่งตน ที่ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ และมีแนวทางเป็นของตนเอง

ซึ่งก็อย่างที่ทราบ นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เลือกที่จะสู้

สัญญะแรกที่ถูกนำมาใช้ก็คือ “แฟลชม็อบ” ที่สยามสแควร์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม

ปรากฏว่ามีการตอบรับจากผู้สนับสนุนอย่างอบอุ่น

กำเนิดใหม่สกายวอล์ค ถือว่าจุดติด

แม้ว่าจะต้องเผชิญคดีความจากตำรวจ ที่กล่าวหาว่าการจัดชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต้องเผชิญกับฝ่ายที่ไม่ชอบวิจารณ์ว่า แม้จะมีคนมาจำนวนมาก

แต่ก็ในระดับพัน เป็นคนหน้าเก่า คนรุ่นใหม่มีไม่มาก

คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ตนเองอีกนาน

และกระแสหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาโจมตีนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่อย่างมาก

นั่นคือ ด้านหนึ่ง แม้จะบอกว่าคนไม่เยอะ

แต่ก็ตีฆ้องร้องป่าวให้น่ากลัว

ว่า นายธนาธรกำลังมีเป้าหมายที่จะดึงเอามวลชนลงสู่ท้องถนน

และสร้างบรรยากาศบ้านเมืองให้ย้อนกลับไปช่วงสงครามสีอันยาวนาน

หรือยกเอาฮ่องกงโมเดลขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่า นายธนาธรอาจจะมีเป้าหมายไปถึงตรงนั้น

 

แม้กระทั่งกลุ่มศูนย์รวมอำนาจ 3 ป.

ก็หยิบเอาประเด็นนี้มาขยายผล สกัดกั้นพรรคอนาคตใหม่ด้วย

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยกว่าบ้านเมืองมีปัญหาอีกมากทางเศรษฐกิจที่จะต้องดูแลคนที่มีความลำบากด้านเศรษฐกิจอยู่ ปัญหาเกษตรกรเรื่องภัยแล้งที่กำลังจะมาถึงต้องแก้ปัญหากันมาก

“สภาพของการเมืองประเทศไทยนั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องไปเดินบนถนน มีหนทางที่จะเดินไปได้ ไม่จำเป็นต้องไปก่อม็อบ ผมไม่เห็นด้วย เพราะมีความลำบากยุ่งยากมามากแล้ว มีบทเรียนกันมามาก และไม่ใช่ทางออกที่จะไม่ส่งผลกระทบ เรามีทางออกทางอื่นที่จะทำได้”

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า การชุมนุมต่างๆ ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ รวมทั้ง พ.ร.บ.การจราจร มีกฎหมายอีกมากมาย

“จะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่ขัดกับกฎหมายลูกก็ไม่มีใครขัดข้องอยู่แล้ว ดังนั้น ขอให้ระมัดระวังกันหน่อย ไม่อยากให้มีการเผชิญหน้า เดี๋ยวถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาอีก แล้วจะไปโทษใคร ขอร้องเถอะ มันต้องมีมาตรการทางสังคมด้วยที่จะต้องช่วยกัน อย่าย้อนกลับไปเรื่องเก่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเคยมีมาแล้ว วันนี้กับวันก่อนมันเป็นคนละวันกัน เป็นคนละสถานการณ์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ต้องดูตรงนี้ด้วย” พล.ประยุทธ์กล่าว

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตือนไปยังนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ อย่าให้ผิดกฎหมาย โดยทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่กฎหมายเป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ หน่วยงานทางด้านความมั่นคงเองก็ไม่ได้มีการประเมินหรือติดตามการเคลื่อนไหวของนายธนาธรแต่อย่างใด แต่หากหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามก็ไม่จำเป็นต้องกระจายให้ทุกคนทราบ

 

นายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่เองกลับยืนยันว่าการชุมนุมยึดแนวทางสงบและสันติ โดยเป็นสิทธิที่ทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

แต่ก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างแจ่มชัดว่า “ก้าวต่อไป” จะเป็นอย่างไร

เพียงแต่ประกาศสนับสนุนกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม 2563 แต่พรรคไม่ได้เข้าไปดำเนินการ

ดังนั้น กิจกรรมต่อไปจะเป็นอย่างไร จึงยังเป็นเรื่องปิดอยู่

แต่ขณะที่ฝ่ายไม่ชอบพรรคอนาคตใหม่ พยายามชูภาพการเคลื่อนไหวนอกสภาให้ดูน่ากลัวอยู่นั้น

เรากลับได้เห็นการขับเคลื่อน 2 ขาของพรรคคนรุ่นใหม่นี้

นั่นคือ ยังอิงกับขบวนกฎหมายและสภา

ด้านหนึ่ง ได้ประกาศจะที่จะดำเนินคดีกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ฐานผิดมาตรา 157 รวบรัดคดีเงินกู้ 191 ล้านอย่างไม่เป็นธรรม

อีกด้าน กลับไปสู่แนวทางรัฐสภา

ด้วยการสร้างเซอร์ไพรส์

เมื่อที่ประชุมวิสามัญของพรรคเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา

ที่มีมติ 250 ต่อ 5 เสียง ให้ขับ ส.ส. 4 คน

คือ 1.น.ส.ศรีนวล บุญลือ ส.ส.เชียงใหม่ 2.นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 3.พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี และ 4.น.ส.กวินนาท ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี ออกจากพรรค

เนื่องจากมีประพฤติกรรมสวนทางอุดมการณ์พรรค

และต่อมาคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ร่วมกับ ส.ส.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ 4 ส.ส.สิ้นสภาพการเป็นสมาชิกเช่นกัน

ตอนนี้เหลือขั้นตอนส่งหนังสือไปยัง กกต. เพื่อรับทราบมติพรรค

จากนั้น 4 ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่จะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ให้ได้ภายใน 30 วัน

ถือเป็นการ “หักดิบ” ทางการเมือง แม้ทำให้จำนวน ส.ส.เหลือ 75 คน จากเดิม 79 คน

แต่ก็ตัดสินใจทำ ย้อนศรคณิตศาสตร์การเมืองที่ใครๆ ก็ประเมินว่าไม่กล้าทำ

 

ทั้งนี้ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่อธิบาย ที่ผ่านมาพยายามทำตามกฎระเบียบของพรรคมากที่สุด แต่เมื่อมีการโหวตสวนมติพรรคเกิดขึ้น ทำให้คณะกรรมการวินัยต้องสอบเรื่องการโหวตสวนมติพรรค และการนำความลับของที่ประชุมไปเปิดเผยและให้สัมภาษณ์ทำให้เพื่อนสมาชิกและพรรคเสื่อมเสียชื่อเสียง พฤติกรรมเหล่านี้นำไปสู่การภาคทัณฑ์ในครั้งแรก แต่ก็ยังมีการกระทำผิดซ้ำ ดังนั้น การทำผิดครั้งที่ 2 จึงต้องมีมาตรการเพิ่มขึ้นและนำมาซึ่งการขับออกจากพรรค

แม้กรณีนี้จะดูเหมือนการเฉือนเนื้อตัวเอง

กระนั้น น.ส.พรรณิการ์อธิบายว่า พรรคคำนวณทิศทางที่จะเป็นไปได้ ซึ่งมี 2 ทาง

1) กกต.จะตีความยังไง ซึ่งทั้ง 4 คนเป็น ส.ส.เขต รวมคะแนนประมาณ 1.6 แสนคะแนน

หากคะแนนดังกล่าวยังเป็นของพรรค รวมเป็น 6.2 ล้านคะแนน ส.ส.พึงมีจะเป็น 81 คน

ส่วน ส.ส.มี 80 คน ขับออกไป 4 คน เหลือ 76 คน จึงต้องมีปาร์ตี้ลิสต์ให้ครบ 81 คน โดยไปตัดปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคอื่นออก เพราะ ส.ส.ในสภาต้องมีแค่ 500 คน

2) กรณีที่ กกต.ตีความว่า คะแนนไปกับ ส.ส.ด้วย อนาคตใหม่ก็ยังถือว่ามี ส.ส.พึงมี 78 ที่นั่ง จะหายไป 2 เสียงเท่านั้น

เท่ากับเป็นการกดดันไปยัง กกต.ต้องตัดสินเรื่องนี้

จะนิ่งเฉยไม่ได้ เพราะอาจทำให้ถูกกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ และยังทำให้ความน่าเชื่อถือลดน้อยลงอีก

ซึ่ง น.ส.พรรณิการ์ฟันธงเรื่องนี้เมื่อเทียบกับบรรทัดฐานที่พรรคต้องดำเนินการกับคนที่ฝ่าฝืนมติพรรคก็ถือว่าคุ้มค่า

และยังช่วยตอบคำถามว่า พรรคยังใช้กลไกสภาอยู่

ไม่ได้มุ่งการชุมนุมทางการเมืองหรือเคลื่อนไหวบนท้องถนนเท่านั้น

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ถือว่าพรรคอนาคตใหม่มีความยืดหยุ่น และพลิกแพลงทางการเมืองอยู่ไม่น้อย

มิใช่บุกตะลุยแบบคนรุ่นใหม่ใจร้อนเท่านั้น

การเปลี่ยนเป้ามาลุย 4 ส.ส. นอกจากจะพลิกการกดดันกลับไปยัง 4 ส.ส.ที่ต้องหาพรรคใหม่สังกัด

ซึ่งก็คงไม่ง่าย เพราะพรรคที่ไปสังกัดนั้น โดยเฉพาะพรรคปีกรัฐบาลจะต้องเคลียร์ให้ดีว่าไม่ได้เลี้ยงงูเห่าเอาไว้ล่วงหน้า การรีบอ้าแขนรับอาจจะถูกสังคมมองอย่างไม่เข้าใจได้

อีกด้าน แม้พรรคอนาคตใหม่จะไม่เชื่อถือกระบวนการตัดสินเรื่องยุบพรรค แต่ก็คงไม่มีทางเลี่ยงนอกจากจะต้องจัดทีมกฎหมายขึ้นมาสู้อย่างเต็มที่และปิดจุดอ่อนให้มากที่สุด

ซึ่งหากต่อสู้อย่างมีน้ำหนัก และปิดช่องต่างๆ ได้ แต่ก็ยังไม่รอดอีก

ผู้วินิจฉัยก็พลอยจะได้รับแรงกดดันจากสังคมคืน และหากพรรคอนาคตใหม่สามารถเชื่อมต่อแรงกดดันทั้งในและนอกสภาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว

ก็อาจจะขัดขวางกระแส “การประหารพรรค” ได้

ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนในสภา ก็ยังหมายถึง การมองหา “บ้านใหม่” ไม่ว่าการตั้งพรรคสำรอง หรือการไปขอใช้ชื่อพรรคการเมืองอื่น ในกรณีที่ถูกยุบพรรคจริง

ทั้งนี้ เพื่อโชว์ความเป็นปึกแผ่น

ไม่แตกฉานซ่านเซ็น หรือกลายเป็นกลุ่มงูเห่าเลื้อยเข้าพรรคโน้นพรรคนี้

โดยหากพรรคอนาคตใหม่สามารถรวบรวม ส.ส.เอาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีใครแตกแถวได้

จะดำรงการเป็นพรรคอันดับที่ 3 ในสภาเอาไว้ต่อไป

น้ำหนักการเคลื่อนไหวก็ย่อมสูงอยู่

ซึ่งนั่นอาจจะก้าวไปสู่เป้าที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล หวัง นั่นก็คือ แม้จะมีการพยายามบังคับฉายหนังม้วนเก่า

แต่ตอนจบ จะไม่จบ ตามที่ “ผู้มีอำนาจ” ต้องการ

หากแต่พรรคจะขับเคลื่อนตามแนวทางของตนเอง

   โดยมีสกายวอล์คเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ และกำเนิดใหม่ อย่างที่พรรคโชว์ให้เห็นในเบื้องต้นแล้วเมื่อ 14 ธันวาคม 2562