ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
พ่อขุนผาเมือง
ไม่ได้ไปครองกัมพูชา
พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ในประวัติศาสตร์กำเนิดรัฐสุโขทัย ไม่ครองกรุงสุโขทัย ภายหลังพระองค์ยึดคืนเมืองสุโขทัยจากขอมสบาดโขลญลำพง [เชื้อสายรัฐละโว้] แต่ยกให้พ่อขุนบางกลางหาวขึ้นครองในนามของพระองค์ว่า “ศรีอินทราทิตย์”
พ่อขุนผาเมืองหายไปไหน? เรื่องนี้ผู้รู้เสนอไว้หลายแนว แต่ที่สำคัญมี 2 แนว ได้แก่
[1.] พ่อขุนผาเมืองไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา และ
[2.] พ่อขุนผาเมืองไปเป็นกษัตริย์นครธมในกัมพูชา โดยอ้างหลักฐานต่างๆ รวมทั้งบันทึกของโจวต้ากวาน [ราชทูตจีน]
ราชทูตจีน ชื่อ โจวต้ากวาน
โจวต้ากวาน เป็นราชทูตจีน ไปถึงนครธม พ.ศ.1839 เพื่อเกลี้ยกล่อมกษัตริย์กัมพูชาครั้งนั้นให้ยอมสวามิภักดิ์ต่อจีนราชวงศ์หงวน
ปีรุ่งขึ้น พ.ศ.1840 ราชทูตจีนเดินทางกลับ จากนั้นโจวต้ากวานได้เขียนหนังสือให้ชื่อว่า “บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ” [ต่อมาแปลเป็นภาษาไทยโดย เฉลิม ยงบุญเกิด พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกด้วยทุนส่วนตัว เมื่อ พ.ศ.2510]
มีเนื้อความสำคัญโดยสรุปว่าเมื่อโจวต้ากวานไปถึงเมืองนครธม ขณะนั้นมีพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ [1.] เคยเป็นผู้บัญชาการทหารของพระเจ้าแผ่นดินองค์เก่า [2.] เป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าแผ่นดินองค์เก่า แต่ต่อมาราชบุตรเขยยึดอำนาจจากโอรสรัชทายาทของ “พ่อตา” ดังนั้น ราชบุตรเขยจึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ เพราะราชธิดาลักพระขรรค์ทองคำ [ขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ] ไปให้พระสวามี
ข้อความที่โจวต้ากวานบันทึกไว้ มีดังนี้
“ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า—-พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่นี้ เป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าแผ่นดินองค์เก่า เดิมมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหาร พระเจ้าแผ่นดินองค์พ่อตาทรงมีพระสิเน่หาในพระราชธิดา พระราชธิดาจึงได้ทรงลักเอาพระขรรค์ทองคำไปให้พระสวามี เป็นเหตุให้พระโอรสาธิราชทรงสืบสันติวงศ์ต่อไปไม่ได้—-”
เฉลิม ยงบุญเกิด ทำเชิงอรรถอธิบายเพิ่มเติมไว้ด้วยดังนี้
[1.] พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ศ.เซเดส์ ว่าเป็นพระเจ้าศรีนทรวรรมัน [2.] พระเจ้าแผ่นดินองค์เก่า คือ พระเจ้าชัยวรรมันที่ 8 [3.] พระขรรค์ทองคำ เข้าใจว่าเป็นพระแสงขรรค์ชัยศรี
ท่านจันทร์
พ่อขุนผาเมืองไปเป็นกษัตริย์นครธมในกัมพูชา พระนาม “ศรีนทรวรรมัน” มีผู้รู้เคยเสนอไว้นานหลายปีแล้ว โดยอ้างอิงหลักฐานจากจารึกวัดศรีชุม และเอกสารจีนของโจวต้ากวาน
“ท่านจันทร์” ม.จ.จันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี [พ. ณ ประมวญมารค] นิพนธ์บทความภาษาอังกฤษพิมพ์ในมหาวิทยาลัยฮาวาย สหรัฐ แล้วทรงทำฉบับย่อชื่อ In Search of the Lost King Poh Khun Pha Muang ลงพิมพ์ใน Bangkok Post ฉบับวันที่ 12 มิถุนายน 2526
ต่อมาได้รับอนุญาตแปลเป็นภาษาไทยชื่อ สืบรอยตามหาพ่อขุนผาเมือง แล้วพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกันยายน [ปีที่ 4 ฉบับที่ 11] พ.ศ.2526
หลังจากนั้นอีกหลายปีได้พิมพ์ซ้ำในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน [ปีที่ 21 ฉบับที่ 6] ครั้งนี้ผมเขียน “หมายเหตุบรรณาธิการ” บอกความเป็นมาของบทความไว้ด้วยว่า
พ่อขุนผาเมืองไปเป็นกษัตริย์กัมพูชา เคยมีผู้เสนอไว้ เมื่อ พ.ศ.2486 คือ ราเมศ จันทร มาชุมดาร์ [ศาสตราจารย์ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของอินเดีย] แต่อยู่ในวงจำกัดของนักวิชาการนานาชาติ จึงไม่เป็นที่รู้ทั่วไปในไทย
เหตุการณ์หลังชัยวรรมันที่ 7
โจวต้ากวานเดินทางถึงนครธม พ.ศ.1839 ขณะนั้นนครธมมีกษัตริย์องค์ใหม่ พระนาม “ศรีนทรวรรมัน” เป็นลูกเขยของกษัตริย์องค์ก่อน คือ “ชัยวรรมันที่ 8”
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายหลังแผ่นดินพระเจ้าชัยวรรมันที่ 7
ช่วงเวลานั้นในไทยมีเหตุการณ์พญามังราย สถาปนาเมืองเชียงใหม่, ส่วนบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นช่วงเวลาก่อนมีกรุงศรีอยุธยาซึ่งจะสถาปนา พ.ศ.1893
ฟังเขามาเล่า
ความขัดแย้งในราชสำนักนครธม ที่ว่ากษัตริย์องค์ใหม่แย่งอำนาจจากโอรสของกษัตริย์องค์เก่า ล้วนฟังคำบอกเล่ามาอีกทอดหนึ่ง ซึ่งโจวต้ากวานบอกในบันทึกว่า “ข้าพเจ้าได้ฟังว่า—-” แสดงว่าไม่รู้ไม่เห็นจริงจากประสบการณ์ตรงของตน
สิ่งที่โจวต้ากวานได้ฟังมาจะเชื่อถือได้มากน้อยขนาดไหนก็ไม่รู้? ต้องตรวจสอบถี่ถ้วน
นอกจากนั้น กษัตริย์กัมพูชาองค์ก่อน [หรือองค์ไหนๆ] มิได้มี “ลูกเขย” องค์เดียว แต่มีไม่น้อยซึ่งน่าจะมากเป็นสิบองค์หรือหลายสิบองค์ก็ได้ จึงระบุยากว่าเป็น “ลูกเขย” องค์ไหน? พ่อขุนผาเมือง หรือใคร? ฯลฯ
ผาเมือง ไม่ครองกัมพูชา
พระเจ้าศรีนทรวรรมัน กษัตริย์เมืองศรียโศธรปุระ [นครธม] ไม่ใช่พ่อขุนผาเมือง เพราะช่วงวัยของพระเจ้าศรีนทรวรรมันเป็น “รุ่นลูก” [ของพ่อขุนผาเมือง] ซึ่งร่วมสมัยพ่อขุนรามคำแหง [กรุงสุโขทัย] และเป็นเชื้อสายเครือญาติกับ “เศรษฐปุระ” หรือเมืองจำปาสักโบราณ ลุ่มน้ำโขง ในลาวใต้
เป็นงานค้นคว้าของ รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ในบทความเรื่อง “พระเจ้าศรีนทรวรมัน” ไม่ใช่ “พ่อขุนผาเมือง” ในศิลาจารึกเขมรโบราณของพระเจ้าศรีนทรวรมัน [พิมพ์รวมอยู่ในหนังสือ ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย (พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ บรรณาธิการ) สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2559 หน้า 208-225]