วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร / เหมิงจื้อส่ง เหมยฉางซูรับ (23)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

เหมิงจื้อส่ง เหมยฉางซูรับ (23)

จักรพรรดิทรงให้ความสนพระทัยเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นท่าทีหยิ่งยโสของแคว้นเป่ยเอี้ยน ไม่ว่าจะเป็นอากัปกิริยาของชาวต้าเหลียง

พระองค์ย่อมทรงคาดหวังให้มีใครสักคนกอบกู้หน้าตาประเทศชาติกลับ

ขณะที่ทรงกำลังกลัดกลุ้ม พลันเหลือบเห็นเหมยฉางซูกับจวิ้นจู่ที่ด้านล่างคล้ายซุบซิบอะไรบางอย่าง จวิ้นจู่พอฟังสีหน้าทอแววประหลาดใจ

“ที่แท้พูดอะไรกัน”

หนีหวงจวิ้นจู่แย้มยิ้ม “หนีหวงมิบังอาจ ท่านซูแค่วิจารณ์การต่อสู้เมื่อครู่นี้ให้ฟัง 2-3 ประโยค ไม่มีเรื่องอื่นเพคะ”

เมื่อถูกเร่งเร้าจากจักรพรรดิ หนีหวงจวิ้นจู่เหลือบมองเหมยฉางซู

“ท่านซูกล่าวว่า ผู้กล้าไป่หลี่ฉีแกร่งกร้าวเกินไป ง่ายต่อการหักโค่น นับเป็นการฝึกวิชาฝีมือผิดวิถี หากถูกคนค้นพบช่องโหว่แค่เด็กน้อยไม่กี่คนก็สามารถโจมตีให้ล้มได้”

ได้ฟังคำวิจารณ์เช่นนี้กล้ามเนื้อบนใบหน้าไป่หลี่ฉีกระตุกขึ้นลงด้วยความโกรธ

ทว่า ทูตเป่ยเอี้ยนกลับมองว่า คำพูดนี้เป็นเพียงการรักษาหน้าของชาวต้าเหลียงเท่านั้น จึงกล่าวขึ้นอย่างทระนง “หากท่านเป็นผู้สูงส่ง มิสู้ทดลองค้นหาช่องโหว่ จากนั้นก็หาเด็กน้อย 2-3 คนมาล้มเขาให้ได้จะดีไม่น้อย”

 

ได้ยินดังนั้น เหมยฉางซูยิ้มพลางกล่าว “เป็นข้าน้อยกล่าววาจาไม่ยั้งคิด ท่านทั้ง 2 โปรดวางใจ ผู้กล้าไป่หลี่ฉีสามารถฝึกปรือถึงขั้นนี้มิใช่เรื่องง่าย ข้ายิ่งไม่คิดทำลายอนาคตคนผู้หนึ่งเช่นกัน”

“ไห่เยี่ยน” บรรยายตามสำนวนลี่ หลินลี่ ว่า

นี่เขากล่าวคำขอโทษชัดๆ แต่ฟังแล้วยังแสลงใจยิ่งกว่าท้าทายกันซึ่งหน้า ทูตเป่ยเอี้ยนกำลังหยิ่งผยองพองขนเต็มที่ พอได้ฟังไหนเลยนั่งสุขสบายได้

“คุณชายท่านนี้หากมีความสามารถแท้จริงมิสู้ออกมาทดลองต่อเบื้องพระพักตร์สักรอบ ผู้กล้าไป่หลี่ฉีของเราแม้เมื่อยล้าแต่ก็ไม่กล้าขัดวาจาใหญ่โตของท่านแน่นอน”

“ไหนเลยรวดเร็วเช่นนั้นได้” สีหน้าเหมยฉางซูยังคงอบอวลด้วยรอยยิ้ม

“ต่อให้สามารถหาเด็กน้อย 2-3 คนมาได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ต้องสั่งสอนสักหลายวัน ช่างเถอะ คิดว่าข้ากล่าวเหลวไหลก็แล้วกัน”

ทูตเป่ยเอี้ยนพอฟังคำพูดนี้ไฉนยิ่งพูดยิ่งเสมือนจริงเข้าไปทุกที หากไม่แยแสมิเท่ากับเกรงกลัวหรอกหรือ ศักดิ์ศรีหน้าตาที่แลกมาด้วยหมัดด้วยเท้าของไป่หลี่ฉีหากถูกผู้อื่นกอบโกยไปด้วยวาจาเล่นลิ้นไม่กี่คำ ต่อไปองค์ชายสี่ทราบเข้าต้องตำหนิว่าเขาไร้ความสามารถ ดังนั้น จึงแค่นหัวเราะเยาะหยัน

“คุณชายต้องการเวลาสั่งสอนคนพวกเรารอคอยเล็กน้อยจะเป็นไรไป ขอให้ฝ่าบาททรงกำหนดวันเวลา รับรองเรียกเมื่อไรมาเมื่อนั้น”

 

ยิ่งตอบโต้ เหมยฉางซูยิ่งปั้นสีหน้าลำบากใจ พึมพำว่า “ข้าไม่รู้จักใครในเมืองหลวง จะหาเด็กน้อยจากที่ไหนได้”

ความจริงต้องการหาเด็กน้อย ขอแค่ออกปากคำหนึ่งจะเอาสักกี่คนก็คงได้

ทว่าทุกคนไม่มีใครแน่ใจว่าที่แท้เขาพูดจริง หรือแค่อยากยั่วโทสะไป่หลี่ฉีเท่านั้น ดังนั้น ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากช่วย

แม้ทูตเป่ยเอี้ยนจะชี้ทางสว่างให้หาทางจากสำนักหมัดมวยมากหลายในเมืองหลวง

แต่ที่ปฏิเสธกลับเป็น “เด็กน้อยในสำนักหมัดมวยฝีมือสูงเกินไป เกรงว่าผู้กล้าไป่หลี่ฉีจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกอย่างให้เด็กน้อยที่เคยผ่านการฝึกวิชาฝีมือหลายคนมารุมโจมตีออกจะไม่ยุติธรรมนัก ต้องหาที่อ่อนหัดสักหน่อย

ในวังนี้ หรือในจวนของท่านใดมีเด็กน้อยที่ค่อนข้างอ่อนแอบ้าง”

ทุกคนพากันคิดหนัก ยังคงไม่กล้าตอบคำ เกรงว่าบุ่มบ่ามอาจทำให้เสียแผน มีเพียงองค์หญิงจิ่งหนิงที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ บวกกับก่อนหน้านี้เพิ่งสะเทือนใจกับสภาพอเนจอนาถในเรือนขังไพร่มา รีบต่อคำทันที

“ในวังก็มีอยู่ เรือนขังไพร่มีเด็กเล็กๆ เต็มไปหมด ล้วนแต่ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกทุกคน น่าสงสารจริงๆ”

“นักโทษในเรือนขังไพร่” เหมยฉางซูพึมพำกับตัวเอง

นับว่าเหมาะสมกว่าลูกคนทั่วไปอยู่บ้าง เพียงแต่ฝ่าบาทใช่ทรงอนุญาตหรือไม่”

จักรพรรดิเหลียงทรงทอดพระเนตรเห็นสายตาของเขามองมา ชั่ววูบนั้นไม่อาจมั่นพระทัยได้ว่าจะให้พระองค์ตอบอนุญาตหรือไม่อนุญาต

ขณะที่ลังเลพระทัย เสียงของเหมิงจื้อก็กระซิบที่ข้างพระกรรณ “ฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาต”

ความไว้วางพระทัยที่มีต่อยอดฝีมืออันดับ 1 ของแคว้นมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย จึงตรัสกลับไปทันที “เจิ้นอนุญาต ใครไปที่เรือนขังไพร่คัดเด็กมาสักหลายคน”

เหมยฉางซูสำทับเพิ่มว่า “จำไว้ ต้องเลือกที่อ่อนแอบอบบางด้วย”

 

ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับเป็นการจัดวางเอาไว้เรียบร้อย ตั้งแต่เมื่อองค์หญิงจิ่งหนิงปรากฏองค์ แล้วเล่าเรื่องไล่ตากระต่ายขาวไปจนถึงเรือนขังไพร่

วูบหนึ่งแห่งความสงสัยจากจิ่งหวังจึงมีเค้าลาง

อย่างน้อยที่สุดระหว่างเหมยฉางซูกับเหมิงจื้อ คนหนึ่งก็เป็นคนส่ง อีกคนหนึ่งก็เป็นคนรับ ประสานเสียงกัน