นงนุช สิงหเดชะ : เหลือเชื่อ!! มาถึงจุดนี้จนได้ เมื่อคนอเมริกันเรียกหา “รัฐประหาร” โค่นทรัมป์

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ประเทศประชาธิปไตยอย่างอเมริกามักจะเป็นฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประเทศอื่นที่มีการก่อรัฐประหาร พร้อมทั้งกดดันต่างๆ นานาให้กลับสู่ประชาธิปไตย

แต่สถานการณ์ขณะนี้พลิกผันอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมีคนอเมริกันอย่างน้อยก็ 1 คน ออกมาเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์

เธอคือ ซาราห์ ซิลเวอร์แมน นักแสดงชาวอเมริกัน ซึ่งได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ว่า “จงตื่นขึ้นมาเพื่อร่วมกันต่อต้าน”

และ “เมื่อทหารอยู่กับเรา ผู้นำเผด็จการของเราจะถูกโค่น ลาก่อน ผู้นำประเทศบ้าๆ และคณะผู้บริหารของเขา”

AFP PHOTO / Derek R. HENKLE

หากใครติดตามสถานการณ์อเมริกาหลังทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ย่อมรู้สึกได้ว่าความตึงเครียดในสังคมก่อตัวสูง ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากคำพูดและนโยบายของทรัมป์ที่ขัดแย้งสวนกระแสกับสังคมที่เคยยึดถือประชาธิปไตยเป็นแกนหลักอย่างอเมริกา ความขัดแย้งแตกแยกนั้นทั้งลึกและขยายวงกว้าง จนน่ากลัวว่าจะกอบกู้คืนมาลำบาก

คนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่ยอมรับทรัมป์รู้สึกอึดอัดคับข้องใจ

เมื่อถึงจุดหนึ่งทนไม่ไหว จึงเกิดเรื่องเหลือเชื่ออย่างการเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจจากทรัมป์

อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนดังในอเมริกันเรียกร้องให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อหยุดยั้งทรัมป์

ก่อนหน้านี้เมื่อกลางเดือนมกราคม ก่อนทรัมป์จะทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพียงสัปดาห์เดียว โรซี โอ”ดอนเนล นักแสดง นักเขียนและพิธีกรรายการทีวี ได้โพสต์ผ่านทวิตเตอร์เรียกร้องให้ทหารใช้กฎอัยการศึกเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ทรัมป์ทำพิธีสาบานตน เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม

นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เขาสามารถทำให้สังคมเกิดความไม่สงบสุข ประชาชนแตกแยกกันอย่างหนักทุกหย่อมหญ้า จนเกิดการปะทะกันหลายครั้ง (เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในไทย เพราะคำพูดของทรัมป์นั้นคล้ายจะเลียนแบบอดีตผู้นำประชานิยมไทยไปทุกอณู)

แต่ที่ถือว่าสร้างความปั่นป่วนสุดคือการสั่งแบนคนจาก 7 ชาติมุสลิม ที่เรียกเสียงต่อต้านได้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ดูคล้ายว่าวิถีชีวิตปกติต่อจากนี้ไปของคนอเมริกันคือการประท้วงทรัมป์

AFP PHOTO / Josh Edelson

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พิษทรัมป์ได้แผ่ซ่านเข้าไปในมหาวิทยาลัย จนเกิดการจลาจล เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์ และประชาชนทั่วไปไม่พอใจที่มหาวิทยาลัยเชิญบรรณาธิการนิตยสารขวาจัดที่สนับสนุนทรัมป์มาร่วมเสวนาการเมืองและความมั่นคง

ความไม่พอใจได้ปะทุบานปลาย จนมีการทุบทำลายข้าวของและเผาสถานที่ กระทั่งทำให้มหาวิทยาลัยประกาศยกเลิกการสัมมนา ซึ่งทรัมป์ก็ปากไวตามเคย ด้วยการออกมาขู่ว่าจะตัดงบประมาณสนับสนุนมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เท่านั้นไม่พอ ยังขู่ไปยังรัฐต่างๆ ด้วยว่าหากรัฐไหนเปิดรับผู้อพยพ รัฐนั้นจะถูกตัดงบฯ สนับสนุนจากรัฐบาลกลาง

(คล้ายกับอดีตผู้นำประชานิยมไทยที่พูดว่าจังหวัดไหนไม่เลือกพรรคของเขาจะถูกตัดหรือไม่ได้รับงบประมาณ)

AFP PHOTO / INDRANIL MUKHERJEE

ให้บังเอิญว่าการเรียกร้องรัฐประหาร โดยนักแสดงชาวอเมริกันดังกล่าว เกิดขึ้นเพียง 1-2 วัน หลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ได้เสนอข่าวว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงจะเกิดรัฐประหารสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก

ซึ่งก็แน่นอนว่ามีคนไทยกลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาลปัจจุบันพากันโหนกระแสการเสนอข่าวของวอชิงตันโพสต์ แบบว่าได้ทีขี่แพะไล่ เมื่อลูกบอลเข้าเท้าก็ต้องชู้ต

ในจำนวนนี้มี คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ด้วย เมื่อนักข่าวนำเรื่องนี้ไปถาม เธอก็ตอบว่า “อย่าให้เกิดรัฐประหารอีก เพราะโลกไม่ยอมรับ”

ส่วนคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งก็ตอบโต้วอชิงตันโพสต์ผ่านโลกโซเชียลว่า เอาประเทศตัวเองให้รอดก่อนเถอะ คนประเทศตัวเองยังเรียกร้องรัฐประหารเลย

AFP PHOTO / NICHOLAS KAMM

สื่ออเมริกันอย่างฮัฟฟิงตันโพสต์ วิเคราะห์ว่า ทรัมป์จะอยู่ไม่ครบเทอม 4 ปี เนื่องจากแค่เข้ารับตำแหน่งสัปดาห์แรกก็เห็นสัญญาณว่าเขาใกล้จะอวสาน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ เพราะว่าไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนได้เรตติ้ง “การไม่ยอมรับ” จากประชาชนก่อนวันสาบานตนสูงเท่าทรัมป์คือ 45% ขณะที่ยุค จอร์จ ดับเบิลยู. บุช นั้นได้รับเรตติ้ง “การไม่ยอมรับ” 25% ก็นับว่าสูงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฮัฟฟิงตันโพสต์ชี้ว่า กระแสความไม่ยอมรับจากประชาชนคงไม่สามารถโค่นทรัมป์ได้ด้วยตัวเอง แต่เชื่อว่ามี 3 เรื่องใหญ่ที่น่าจะระเบิดทรัมป์ให้พ้นจากตำแหน่ง ได้แก่

1. เป็นกบฏทรยศชาติด้วยการอี๋อ๋อกับรัสเซีย เนื่องจากเริ่มมีเบาะแสออกมาว่าคนวงในของทรัมป์มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ใช่เพื่อประเทศ ขณะเดียวกันยังมีข่าวว่าเหตุที่ทรัมป์ต้องเอาใจรัสเซียก็เพราะถูกรัสเซียแบล็กเมล์ด้วยวิดีโอเซ็กซ์ฉาว

2. ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากทรัมป์ไม่ใช้วิธีถ่ายโอนหุ้นไปไว้ในการดูแลของทรัสต์ (Blind Trust-บริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ ซึ่งเจ้าตัวไม่มีอำนาจแทรกแซงการบริหาร) แต่กลับโอนไปให้ลูกชายแทน ซึ่งทรัมป์คิดว่าเขาฉลาดที่ใช้วิธีนี้ แต่การทำเช่นนี้จะยิ่งทำให้เขาถูกกล่าวหาง่ายยิ่งขึ้นว่าใช้ตำแหน่งประธานาธิบดีไปเอื้อประโยชน์ธุรกิจส่วนตน ขณะที่ประธานาธิบดีคนอื่นๆ ถ่ายโอนธุรกิจไปไว้กับทรัสต์ จึงสามารถปิดตายข้อสงสัยเรื่องนี้ของสังคม

ประเด็นที่ 3. ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับสื่อ ที่ปรึกษาของทรัมป์ให้คำปรึกษาแย่ๆ แก่เขาด้วยการเปิดศึกกับสื่อ ซึ่งไม่ฉลาด เพราะตอนที่ทรัมป์อยู่ในวงการบันเทิง เขาอาจสามารถตอบโต้หรือรังแกสื่อที่เขาไม่ชอบได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องกังวลผลกระทบ

แต่เมื่อมาเป็นประธานาธิบดี การที่เขาตอบโต้สื่อด้วยการพยายามดิสเครดิตข้อเท็จจริงที่สื่อรายงาน จะยิ่งทำให้สื่อขุดคุ้ยและแฉเขามากยิ่งขึ้น

AFP PHOTO / Brendan Smialowski

ยังไม่มีใครบอกได้ว่าทรัมป์จะไปอีกไกลแค่ไหนจึงจะตระหนักว่าสิ่งที่เขาทำอยู่เสมือนคนตาบอดเดินเข้าสู่สนามที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด

แต่ที่เห็นชัดคือ ธุรกิจของลูกเขากำลังได้รับผลกระทบ เช่น สินค้าของ อิวานก้า ทรัมป์ ลูกสาวของเขาถูกแอนตี้ เริ่มจากห้างนอร์ดสตอร์ม ถอดสินค้าของเธอออก ล่าสุดสินค้าแบรนด์อิวานก้า หายไปจากเว็บไซต์ของห้างเมซี”ส์

พฤติกรรมที่ก้าวร้าว คำพูดที่ขาดการไตร่ตรอง ขาดการควบคุมตัวเอง ทำให้นักจิตวิทยาในสหรัฐเริ่มออกมาตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์น่าจะมีอาการป่วยทางจิต หลงตัวเองรุนแรง

ถ้าเป็นเช่นนั้นจะตีความได้หรือไม่ว่า คนที่เลือกทรัมป์เข้าไปก็มีอาการป่วยทางจิต และเป็นเผด็จการพอๆ กัน

ทรัมป์อาจคือตัวอย่างคลาสสิคของเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งรายแรกของสหรัฐ เป็นตัวอย่างคลาสสิคที่สะท้อนว่าบางทีการเลือกตั้งก็สร้างความชอบธรรมให้เผด็จการ