ฟ้า พูลวรลักษณ์ | ข้อสังเกตถึงสองคนนี้

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๕๖)

๑ฉันสังเกตคนสองคนนี้

๑ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

๒ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

แล้วพบว่ามีความเหลื่อมกันอยู่นิดหนึ่ง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ได้เป็นจิตอาสาเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อุบลฯ ความว่องไว ความจริงใจ และความเป็นวีรบุรุษของเขา กลายเป็นข่าวดัง

ที่จริงน่าชมเขามาก จนบางครั้งคิดว่า น่าจะให้เขาเป็นนายกฯ คนต่อไปของเมืองไทย

แน่ละ บิณฑ์ไม่มีความแหลมคมทางการเมือง ไม่มีรากฐานทางนี้ เขาเป็นนายกฯ ไม่ได้หรอก แต่ทว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีความแหลมคมทางนี้ และได้วางรากฐานให้ตัวเองเพียงพอแล้ว แต่เขายังให้ความสำคัญแก่น้ำท่วมครั้งนี้น้อยกว่าบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

เขาอาจจะกำลังวุ่นวายเรื่องราวอื่นๆ มากมาย กำลังมีปัญหาอื่นมากมาย เขาก็ไม่ได้เพิกเฉยกับน้ำท่วมครั้งนี้ แต่เขาไม่ได้ทำเต็มที่เหมือนบิณฑ์

อาการเหลื่อมกันอยู่ตรงนี้เอง

หากธนาธรทำตัวเหมือนบิณฑ์ จะดีสักเพียงไหนหนอ

หากธนาธรคิดทัน และทุ่มเทเต็มที่กับน้ำท่วมครั้งนี้ ภาพที่ปรากฏจะงดงามยิ่งนัก เขาจะเป็นนายกฯ คนต่อไปค่อนข้างแน่ เพราะชาวบ้านจะรักเขามากมาย ท่วมท้น ไม่เพียงเขาแสดงความจริงใจ ความห่วงใยในประชาชน แต่ยังแสดงไหวพริบ ความว่องไวในการเผชิญหน้ากับปัญหา

คนจะหาเรื่องเขายังไงก็ไม่ได้ เพราะในครั้งนี้เขาจะไม่พูดเรื่องการเมืองเลย เขาเป็นเพียงจิตอาสา เข้ามาช่วยบรรเทาทุกข์ชาวบ้าน ช่วยคนที่ขาดอาหาร ขาดที่อยู่ ขาดปัจจัยพื้นฐาน

บิณฑ์กลับบ้าน แล้วถอนเงินตัวเอง ๑ ล้านบาทมาช่วยชาวบ้าน นี้คือน้ำใจของเขา หากเป็นธนาธร เขากลับบ้าน แล้วเบิกเงิน ๑๐ ล้านมาช่วยชาวบ้าน เขาจะทำได้ทันที และนี้คือน้ำใจของเขา

จริงอยู่มันอาจมองได้ว่าเป็นการหาเสียง นักการเมืองทุกคน ทุกสิ่งที่ทำ หลีกเลี่ยงการถูกมองไม่ได้ว่าเป็นการหาเสียง ใครจะว่ายังไงก็ช่าง แต่ชาวบ้านนับหมื่นนับแสนคน จะซึ้งใจยิ่งนัก และนี้คือภาพพจน์ที่ฝังแน่นในความรู้สึกของคนไทย

น่าเสียดาย ธนาธรพลาดโอกาสนี้ไป ฉันเสียดายแทนเขา แต่ทว่าในชีวิตนี้ ฉันเห็นอาการเหลื่อมนี้เกิดขึ้นรอบตัวฉัน มันลี้ลับ แปลกประหลาด จนกลายเป็นคุณสมบัติของชีวิตเอง

ตัวฉันเองก็พลาดมานับครั้งไม่ถ้วน ฉันมองเห็นมันหลังเหตุการณ์ ในเหตุการณ์ฉันจะช้าไปหน่อยเสมอ ไม่เพียงเป็นความผิดพลาดของตัวเอง แต่กับคนรอบข้าง ฉันก็เห็นชัดเจน ผู้คนทำผิดครั้งแล้วก็ครั้งเล่า พลาดโอกาสทองไปแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง

เพราะอะไรหนอ มนุษย์จึงเป็นแบบนี้

หรือคำจำกัดความของมนุษย์ คือผู้อยู่ในความเหลื่อม

ตอนที่ฉันอายุ ๔๑ ปี ฉันเจอเด็กสาวคนหนึ่ง อายุ ๑๓ ปี น่ารักเป็นอันมาก นิสัยของเธอเข้ากับฉันได้ และวัยของเธอก็สุดยอด ที่สำคัญครอบครัวของเธอก็ชอบฉัน หากฉันจะเอาจริง นี้คือคู่ชีวิตของฉันเลย เพียงแต่แค่คบกันไป แล้วรอเวลาอีกสักสิบปี เธอเป็นลูกสาวของเพื่อนของเพื่อนฉัน เราคบกันอย่างสนิทสนม

แต่ในช่วงเวลานั้น ฉันก็ไม่เคยเอาจริงกับสิ่งนี้เลย

จวบจนฉันอายุ ๕๑ ปี เธออายุ ๒๓ ปี ที่จริงฉันควรเอาจริงได้แล้ว เพราะเธอยังเป็นเด็กสาวที่เพิ่งเรียนจบ ยังไม่มีแฟน แต่ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่พลังสร้างสรรค์ของฉันกำลังแรง ฉันจึงไม่เอาจริงอีก ฉันเพียงเกี้ยวแบบทีเล่นทีจริง

จิตใจของฉันจดจ่อกับการทำงานสร้างสรรค์มากกว่า แต่ก็คิดว่า อาจเป็นไปได้ ที่จะมีเธอเป็นคู่ของฉัน ข้อดีคือ เราจะกลมกลืนกัน

แต่วันที่ฉันเอาจริง คือวันที่ฉันอายุ ๕๗ ปี ซึ่งเป็นช่วงปลายของฉันแล้ว เหตุที่ฉันเอาจริง คงเพราะว่า ดึกมากแล้ว รถด่วนขบวนสุดท้าย หากไม่ขึ้นก็ไม่มีรถแล้ว

แต่เธออายุ ๒๙ ปีแล้ว และกำลังมีแฟน ฉันช้าไป ที่จริงฉันช้าไปแค่สองปี หากฉันตัดสินใจก่อนหน้านี้สักสองปี ยังทันกาล แต่ทว่าในวัย ๕๕ ฉันก็ยังแข็งแกร่งเกินไป นี้คืออาการเหลื่อม

ฉันไม่ได้พูดด้วยความเสียใจ เพราะฉันรู้ว่านี้คือชีวิต มันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ฉันเคยพลาดสิ่งยิ่งใหญ่กว่านี้หลายเท่า สิ่งที่มีผลพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ฉันจึงเหมือนคนอื่นนับไม่ถ้วน เวียนว่ายอยู่ในโลก พลาดแล้วก็พลาดอีก ความผิดพลาดที่กลายเป็น norm ของตัวชีวิตเอง

พรรคอนาคตใหม่ จะมีพลัง สดชื่น เวลาหาเสียง แต่เวลาเข้าสภาแล้ว ก็เหมือนนักวิ่งที่ต้องลงไปวิ่งในหนองน้ำ นี้ไม่อาจเป็นการวิ่งอีกแล้ว ได้แต่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า บางคนถึงกับหยุดนิ่ง เพราะมีแรงต้านมากมายในสภา มีข้อจำกัดมากมายในรัฐธรรมนูญ นี้เป็นความธรรมดา เรารู้อยู่แต่ก่อนแล้ว รู้ก่อนจะเลือกพวกเขาเข้าไป ทุกอย่างเคลื่อนที่ช้า

ทุกวันนี้ พวกเขาพยายามจะสตัฟฟ์ธนาธร ให้นิ่งสนิท กลายเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไม่ได้ หรือสิ่งที่ตายแล้วทางการเมือง ในขณะที่เขาก็ต้องดิ้นรนต่อสู้

อาการเหลื่อมเกิดขึ้นมากมายรอบตัวเรา มากมายเป็นจักรวาล

นี้คือโลกของเรา นี้คือมนุษย์