ผ่าคดีฆ่ายกครัว 3 ศพ เสี่ยหึงโหด-ยิงแฟน ลามปิดปาก‘พ่อ-แม่’ ญาติดูหน้าจี้ประหาร

เปิดปมฆ่ายกครัว 3 ศพ “เสี่ยสายเปย์” สุดโหด หึงลูก-ลามยิง “พ่อ-แม่” ญาติฮือตื้บ-จี้ประหาร

เป็นอีก 1 คดีสะเทือนขวัญ สำหรับกรณีฆ่ายกครัวพ่อแม่ลูก 3 ศพที่เชียงราย

เนื่องจากผู้ตายและครอบครัว ล้วนเป็นมิตรกับคนในชุมชน ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร

แต่กลับถูกลงมืออย่างทารุณ แถมยังเป็นการลงมือที่ไม่มีใครทราบต้นสายปลายเหตุมาก่อน

จนกระทั่งพบศพเวลาก็ล่วงไปกว่า 5 วัน

กลายเป็นคำถามว่าใครกันแน่ที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้

ซึ่งเป้าของผู้ต้องสงสัยก็คือแฟนหนุ่มของลูกสาว ที่เข้าออกนอกในอยู่เป็นประจำ

แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะไม่คิดว่าคนที่รักกันจะทำกันได้อย่างโหดเหี้ยมรุนแรงเช่นนี้ แถมยังบานปลายไปถึงพ่อแม่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย

สุดท้ายเมื่อจับกุมตัวได้สำเร็จ จึงได้คำสารภาพ อ้างว่าลงมือโดยขาดความยั้งคิด

เป็นเรื่องที่ต้องไปต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม

● ฆ่ายกครัว 3 ศพเชียงราย

เหตุสยองครั้งนี้ ปรากฏในความรับรู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. โดยร.ต.อ.นนท์ แสงมะณี รองสว. (สอบสวน) สภ.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย รับแจ้งเหตุคนถูกฆ่าเสียชีวิต ภายในบ้านเลขที่ 307 บ้านสันป่าสัก หมู่ 3 ต.บ้านดู่

จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สิทธิชัย ไกรแสง ผกก.สภ.บ้านดู่ พ.ต.ท.รัชพล สะสม สว.สส.สภ.บ้านดู่ รุดไปยังที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิต 3 ศพ ประกอบด้วย นายอุดม กิมสี อายุ 57 ปี เจ้าของบ้าน เป็นพนักงานกองคลัง เทศบาลตำบลบ้านดู่ เสียชีวิตอยู่ในห้องโถงหน้าบ้าน นางณัชชา กิมสี อายุ 51 ปี ภรรยา สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่ลาว เสียชีวิตบริเวณหน้าห้องน้ำ ใกล้กับนายอุดม และน.ส.สวรส กิมสี อายุ 26 ปี ลูกสาว พนักงานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เสียชีวิตอยู่ในห้องนอน

สภาพของทั้งสามเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 วัน ศพ ขึ้นอืด ส่งตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ซึ่งผลสรุปออกมาระบุว่าเสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วยปืนขนาด 9 ม.ม.

อย่างไรก็ตามจากการสอบสวนเพื่อนบ้านทราบว่า น.ส.สวรส คบหากับเพื่อนชายคนหนึ่ง ชื่อว่านายนวราธร คุณะแสงคำ อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 122 หมู่ 2 ต.ป่าซาง อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ย. ชาวบ้านข้างเคียงได้ยินเสียงคล้ายอาวุธปืนหลายนัด แต่ไม่มีใครเอะใจว่าจะเกิดเหตุร้าย

ผ่านสุดสัปดาห์ไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งวันจันทร์ที่ 2 ธ.ค. เพื่อนร่วมงานของนายอุดมต่างสงสัยว่าทำไมนายอุดมถึงไม่มาทำงาน ส่งผลให้นายพัฒนพงษ์ โพธิ์เกตุ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านดู่ พร้อมเพื่อนพนักงานเดินทางมาตามหาที่บ้าน จนพบทั้ง 3 เสียชีวิต

โดยนายพัฒนพงษ์ระบุว่า นายอุดมเป็นคนร่าเริง ไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นกับใคร จึงไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย หรือก่อเหตุยิงกันเองภายในครอบครัว เพราะไม่มีสิ่งใดกดดันให้ทำเช่นนั้น

ด้านพ.ต.อ.สันติ กองสมัคร รองผบก.ภ.จว.เชียงราย ระบุว่า จากการตรวจสอบไม่พบอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ แต่คาดว่าน่าจะมีบุคคลที่ 3 เป็นผู้ลงมือ ซึ่งญาติผู้ตายระบุว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.สวรส คบหาชายหนุ่มที่ทางครอบครัวฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วย เพราะเคยแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม

จึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนออกติดตามชายหนุ่มคน ดังกล่าวมาสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ รวมทั้งประสานไปทางด่านตม.ในจ.เชียงราย เพราะเกรงว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศทางชายแดน

เร่งติดตามตัวมาคลี่คลายคดี

● จับทันควันเสี่ยสายเปย์

หลังจากปูพรมค้นหาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ในที่สุดก็ได้ตัว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.ภูธรภาค 5 ตรวจสอบพบว่านาย นวราธร หรือ ไอ้โอ ใช้รถเก๋งยาริส สีดำ ทะเบียน กอ 8068 เชียงราย ในการหลบหนี จึงสั่งให้ตรวจสอบกล้องซีซีทีวี จากบ้านหลังเกิดเหตุไปตามที่ต่างๆ

ซึ่งเบาะแสสุดท้ายพบมุ่งหน้าไปยังจ.เชียงใหม่ จึงลงพื้นที่กระจายกำลังตรวจสอบตามจุดต่างๆ จนกระทั่งช่วงค่ำวันที่ 2 ธ.ค. พบรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ หน้าสนามกอล์ฟลานนา ถนนโชตนา ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่

จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ และพบนายนวราธรอยู่ภายในรถยนต์พร้อมกับนางพัศทร คุณะแสงคำ มารดา ตรวจสอบภายในรถพบของกลางเป็นอาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 ม.ม.

ขณะเดียวกันศาลจังหวัดเชียงรายได้อนุมัติหมายจับนาย นวราธร ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านดู่ จ.เชียงราย

เบื้องต้นจากการสอบสวนให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือยิงยกครัวทั้งสามศพ ก่อนขับรถหลบหนีไปขอความช่วยเหลือจากพรรคพวก

โดยมีปมเหตุจากความโกรธแค้นหึงหวง เรื่องแฟนเก่าของฝ่ายหญิง

ทั้งนี้จากการสอบถามเพื่อนบ้านของครอบครัวผู้เสียชีวิต ระบุว่า ช่วงที่นายนวราธร หรือโอ คบหากับน.ส.สวรส หรือน้องแป้ง เรียกได้ว่าเป็นเสี่ยสายเปย์ คอยดูแลอย่างเต็มที่ ทั้งพาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ใช้จ่ายเต็มที่ ซื้อของมากมาย รถยนต์ที่ใช้ก็เป็นรถหรู

แต่ไม่ทราบว่านายโอทำงานอะไร รู้แต่ว่าเป็นลูกคนมีเงิน จนทำให้คนภายในหมู่บ้านต่างสงสัยว่าเป็นลูกคนมีเงินจริงๆ หรือเป็นเสี่ยกำมะลอ เหมือนที่เคยเป็นข่าว ก่อนหน้านี้ 2 สัปดาห์ นายโอขับรถบีเอ็มฯ สีขาว ไปชนกับคู่กรณี เหตุเกิดในพื้นที่สภ.บ้านดู่ อยู่ระหว่างรอไกล่เกลี่ย ก็เกิดเหตุสลดเช่นนี้เสียก่อน

● เปิดปากรับ–ปมหึงหวง

สำหรับความคืบหน้าในคดี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผบ.ตร. รุดเดินทางขึ้นไปที่จ.เชียงราย กำกับคดีด้วยตัวเอง เพราะถือเป็นเหตุสะเทือนขวัญ และได้นำสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง

โดยพล.ต.อ.สุชาติ เปิดเผยว่า จากการสอบประวัติของนายนวราธร ไม่พบว่าเคยต้องโทษคดีใดมาก่อน แต่เป็นคนอารมณ์ร้อน ชอบอาวุธปืน และใช้อาวุธปืนมาตลอด ก่อนหน้านี้ทำงานรับแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งในและต่างประเทศ

ซึ่งจากการสอบปากคำ นายนวราธรระบุว่าคืนวันเกิดเหตุ ได้ออกไปเที่ยวสถานบันเทิง กับน.ส.สวรส จนกระทั่งช่วงดึกเดินทางกลับ ระหว่างทางมีเรื่องถกเถียงกัน เมื่อถึงบ้านก็ทะเลาะกันต่อเรื่องของคนที่เคยคบหากันของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จนเกิดความหึงหวง

ขณะนั้นมีแฟนเก่าของน.ส.สวรส ไลน์มาหาจนเกิดปากเสียงกันรุนแรง โดยนายนวราธรคว้ากล่องปืนออกมา แล้วใส่ลูกกระสุน ก่อนที่จะยิงใส่น.ส.สวรส เสียชีวิต แล้วยิงใส่แม่และพ่อของน.ส.สวรส จนเสียชีวิตรวม 3 ศพ

ผู้ต้องหายังให้การว่าเป็นการก่อเหตุโดยไม่ได้ยั้งคิด ยิงไปทั้งหมด 4 นัด แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ จะต้องตรวจสอบหลักฐานและพยานต่างๆ เพิ่มเติมว่าเป็นจริงตามคำให้การหรือไม่ เช่นวิถีกระสุน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์

อย่างไรก็ตามญาติของน.ส.สวรส เปิดเผยว่าไม่เชื่อคำให้การของนายนวราธร เพราะหากดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นาย นวราธรยิงใส่น.ส.สวรส ก่อนอย่างเลือดเย็น แล้วหันไปยิงใส่นางณัชชา ผู้เป็นแม่ เสียชีวิตเป็นศพที่ 2 แทนที่จะหยุดอยู่แค่นั้น ยังเดินออกมาหานายอุดมที่เป็นพ่อ ซึ่งนอนหลับด้วยความเมาอยู่ที่ห้องโถงภายในบ้าน ก่อนจ่อยิงทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ จนเสียชีวิตเป็นศพที่ 3

ไม่เชื่อแน่นอนว่าเป็นการลงมือโดยไม่ได้ยั้งคิด

จากนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวนายนวราธร ออกจากห้องขังภายในสภ.บ้านดู่ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ โดยมีทั้งญาติและกลุ่มเพื่อนของผู้เสียชีวิตนับร้อยคนมามุงดูเหตุการณ์ พร้อมตะโกนให้ประหารนายนวราธร โดยมีบางส่วนพยายามปีนรั้วบ้านหลังเกิดเหตุเข้าไปหวังทำร้ายนายนวราธรจนเจ้าหน้าที่ต้องตรึงกำลังดูแลเพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง

ถือเป็นอีกคดีที่ปิดได้อย่างรวดเร็ว

แต่จะมีบทสรุปอย่างไร คงต้องไปตัดสินกันในศาลที่จะ ผดุงความยุติธรรมให้สังคม