เปิดจุดยืน “ชมพู่ อารยา” เบื้องหลังความสตรอง คือการยอมรับว่าไม่มีใครได้รับความรักจากทุกคน

สิ่งหนึ่งที่มักเป็นภาพจำเวลานึกถึงนักแสดงสาว ชมพู่-อารยา เอ. ฮาร์เก็ต นั้นก็คือ “ความสตรอง” ใครๆ มักบอกว่าเธอเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อมติชนสุดสัปดาห์ มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอในเรื่องนี้ ชมพู่หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบว่า

“จริงๆ ไม่ได้คิดว่าสตรองขนาดนั้น ไม่ได้อยากจะเคลมว่าฉันแข็งแรงมาก” แต่หากถามว่าเหนื่อยไหม “ก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน” ชมพู่ตอบ

แต่ด้วยความที่เธอไม่ขี้บ่นให้ชาวประชาเห็น เนื่องจากไม่อยากปล่อยพลังงานลบเกินความจำเป็น ภาพที่เรามักเห็นจึงเป็นภาพแห่งความแข็งแกร่งทางทัศนคติ “ชมว่ามันอยู่ที่มายเซ็ตมากกว่า”

หากมองทุกอย่างด้วยพลังงานบวก สิ่งที่ตามมาก็คือความรักในสิ่งที่ทำนั้นเอง

เห็นว่ามืออาชีพนี้ แต่เธอกลับบอกว่า เมื่อต้องเจอกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ วิธีของเธอคือการไม่ต้องรับมือกับมัน

“ไม่เคยเอาประเด็นดราม่าเก็บมาคิด มาทำให้รู้สึก”

“ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มันเป็นโซเชียล ใครนึกอยากจะวิจารณ์ จะพูดอะไรได้เลย สังคมมันเปิด” ในมุมของนักแสดงนั้น สิ่งเหล่านี้เสมือนได้เปิดประตูต้อนรับความคิดเห็นจากคนแปลกหน้าที่หลั่งไหลเข้ามาจนเกินจะตั้งรับ

“ดราม่าคือสิ่งที่มันมีผลกับจิตใจ กับสิ่งที่มันมีผลในเชิงภาพลักษณ์หรือธุรกิจ”

“เราเป็นนักแสดง เราเป็นคนสาธารณะ เรื่องแบบนี้มันมีผลประโยชน์”

แต่อาชีพนักแสดงที่เธอยึดมา 20 ปีนั้น ดราม่าที่กระทบจิตใจเป็นสิ่งที่เกินความควบคุม แต่ขณะเดียวกันเธอกล้าพูดว่า วันนี้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำร้ายจิตใจก็ได้แล้ว

“ชีวิตเรามีสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าฟังใครพูดถึงเราอย่างไร” คีย์เวิร์ดนี้ไม่ได้หมายถึงแค่เธอ แต่กินความหมายกว้างไปถึงเพื่อนร่วมอาชีพที่พบเจอเรื่องราวดราม่า ที่มักวนเวียนอยู่ในแวดวงคนบันเทิงอย่างแยกไม่ออก

“บางทีกระทบเรื่องงานของคน เรื่องภาพลักษณ์ ซึ่งตรงนี้ต้องมองมันให้แยกจากกัน พาร์ตแรกมันเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว ที่เราต้องดิวกับมัน อีกพาร์ตคือปัญหาที่มันต้องแก้ไปตามปัจจัย ข้อเท็จจริง ถ้ามองแยกจากกันได้ก็โอเค แต่ว่าอย่างที่บอกคือสภาพจิตใจที่ว่าใครจะมอง ใครจะคิดอย่างไร อันนี้เราห้ามคนไม่ได้”

แม้ตอนนี้เรื่องดราม่าจะกระทบใจเธอไม่ได้แล้ว แต่หากย้อนกลับไปในช่วงเป็นวัยรุ่น ชมพู่ อารยา ยอมรับว่าความรู้สึกที่ผู้อื่นมีต่อเธอ เคยทำให้เธอเสียใจ ณ ขณะนี้ทุกบทสัมภาษณ์ของเธอมักได้รับคำชื่นชมว่า “ดีที่สุด” มาเสมอ แต่ใครก็รู้ว่า ณ ตอนยังเป็นวัยรุ่น การให้สัมภาษณ์ก็เคยเป็นเรื่องที่เธอเสียใจมาแล้ว

“เราก็คุยกันดี แต่ว่าพอตัวเองไปเขียน ทำไมเขียนแบบนี้ล่ะ”

“ตอนเด็กเราก็จำตัวเราในพาร์ตนั้นได้ว่า บางทีเราก็ผิดหวัง จากการที่ทำไมคนนั้นพูดแบบนี้ แต่ว่าเราโตมาก็เรียนรู้ว่า การคาดหวังว่าจะต้องเป็นที่รัก จะต้องได้รับความรักจากทุกคน มันเป็นไปไม่ได้”

“ชีวิตมันสอนเราแบบนี้”

ทั้งนี้ ชมพู่ อารยา ในวัย 38 ก็บอกกับมติชนออนไลน์ว่า ไม่คิดมาก่อนว่าชมพู่คนอ่อนไหวในวัย 20 ต้น จะเติบโตมาแข็งแกร่งได้ในร่างนี้

“คือตอนเด็กๆ เราจะคิดภาพความสำเร็จ ความสุขเป็นอีกแบบ คือการมีวัตถุอันนั้น อันนี้ แต่ว่าพอจริงๆ เราผ่านอะไรมา เราก็รู้ว่าความสุขคือการเข้าใจในชีวิต”

การจัดวางบาลานซ์ให้ได้ระหว่างครอบครัวและงานคือความสุขของอารยาในวันที่เธอมีลูกชาย 2 คนต้องดูแลให้เติบโต “ครอบครัวที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน เรายังได้มาท้าทายตัวเรา เรารู้สึกว่าเรายังมีคุณค่านะ ได้ให้เวลากับตัวเอง ดูแลตัวเอง ได้เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นบ้าง”

สมดุลในชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เธอแสวงหามาทั้งชีวิต

“เราคิดว่าความสำเร็จวัดแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้มุมมองของเราก็เปลี่ยน อีก 10 ปีก็อาจจะเปลี่ยนก็ได้”

“เรามองสิ่งที่เราทำ ภาระหน้าที่ที่เรามีในมือ ดูว่าเราต้องจัดการกับมันอย่างไร คือถ้ามองด้วยพลังบวก เราว่ามันไปของมันต่อไปได้”

เพราะฉะนั้น อีก 10 ปี หากมีโอกาสได้คุยกัน เราคงจะได้รับฟังว่าความสุขในชีวิตของเธอยังคงเป็นแบบเดิมไหม หรือเปลี่ยนไปตามวัยและบทบาทที่ดำเนินไปในชีวิต