ในประเทศ / เขตทหารห้ามเข้า

ในประเทศ

 

เขตทหารห้ามเข้า

 

ป้าย “เขตทหารห้ามเข้า” ซึ่งหายจากพื้นที่ของกองทัพเป็นลำดับนั้น

อาจจะต้องกลับมา “เพิ่ม” ใหม่อีกครั้ง

เพิ่ม เพื่อที่จะป้องกันมิให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่เข้า

ด้วยเพราะบุคคลและพรรคดังกล่าว ประกาศจุดยืนแตกต่างจากผู้นำและอดีตผู้นำกองทัพ ที่ออกไปมีบทบาทในทางการเมือง นั่นก็คือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ซึ่งแม้ คสช.จะสลายตัวไปแล้ว

แต่ทั้งนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ ต่างยืนกรานว่ายังมีการสืบทอดอำนาจไว้ในกองทัพอย่างเหนียวแน่น

และมีธงที่จะสลายพวกตน ในฐานะพวกที่มีแนวคิดอันตราย

ซึ่งวันนี้ถูกแขวนป้ายขยายความจากมวลชนแนวร่วมว่าเป็นพวก “ชังชาติ” พึงที่จะถูกกำจัด

และเริ่มลงมือปฏิบัติการให้เห็นแล้ว

 

จึงไม่น่าประหลาดใจกับสิ่งที่ปรากฏในหนังสือลาออกของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563

เพื่อไปเคลื่อนไหว “นอกสภา” นั้น

ได้ระบุตอนท้ายว่า

“เมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าเข้าสภา ข้าพเจ้าขออยู่กับประชาชน”

แม้นายธนาธรมิได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “พวก” คือ “ใคร”

กระนั้นน่าสังเกตว่า ทันทีที่นายธนาธรถูกตัดสินให้พ้นจากการเป็น ส.ส.ด้วยถือ “หุ้นสื่อ”

นายธนาธรได้ลงพื้นที่กลางกรุง คือ สยามสแควร์ รณรงค์ให้เลิกการเกณฑ์ทหาร และนำเสนอรูปแบบการรับทหารแบบใหม่ ภายใต้คำขวัญ ท.ทหารทันสมัย

ซึ่งก็ชัดเจนว่า เป้าหมายที่นายธนาธรพุ่งเข้าใส่คือ “ใคร”

เช่นกัน เมื่อนายธนาธรลาออกจากกรรมาธิการงบประมาณ

เพียงไม่กี่วันจากนั้น นายธนาธรก็ได้จัดบรรยายพิเศษ “ชำแหละงบประมาณกระทรวงกลาโหม” ขึ้นที่พรรคอนาคตใหม่ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่านโซเชียลมีเดียด้วย

ซึ่งเป้าหมายก็ชัดเจนยิ่งว่า นายธนาธรพุ่งเข้าหาหน่วยงานใด

 

ทั้งนี้ นายธนาธรบอกกับประชาชนว่า กระทรวงกลาโหมที่ได้งบฯ 220,000 ล้านบาทนั้น เงินในส่วนนี้แม้เราสามารถตรวจสอบได้

แต่มีเงินอีกส่วน ที่เป็นเงินนอกงบประมาณ ที่กรรมาธิการงบฯ ไม่สามารถสั่งตัดได้ และไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งจ่าย หรือจะนำไปใช้อย่างไร

โดยปี 2561 เงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลาโหมมีทั้งสิ้น 18,657 ล้านบาท

สามารถสร้างรถไฟจากนครปฐมไปประจวบคีรีขันธ์

สามารถนำมาทำสวัสดิการพื้นฐานของประเทศให้ดีขึ้น โดยสามารถให้เด็กทุกคนเดือนละ 300 บาทต่อเดือน ถ้วนหน้า

แต่เงินจำนวนนี้ นอกจากไม่มีความโปร่งใสที่จะตรวจสอบได้แล้ว

ยังบอกไม่ได้ว่ามีการนำเงินจำนวนนี้ไปใช้ในเรื่องอะไร

ทั้งที่มันต้องโปร่งใสทั้งขารับและขาจ่าย แต่ตอนนี้ไม่มีใครมองเห็น แม้แต่ ส.ส.เอง

ขณะที่เงินนอกงบฯ ของกระทรวงอื่นเราเห็นมากกว่านี้ ขอดูได้

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะกระทรวงกลาโหมมีกฎหมายเปิดช่องเอาไว้ ได้แก่ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 มาตรา 61(3) กำหนดว่า งบฯ ทั้งหมดต้องทำตามข้อกฎหมายกำหนด เว้นแต่มีกฎหมายเขียนไว้เป็นอย่างอื่น หรือได้ทำมีข้อตกลงกับกระทรวงการคลังเป็นอย่างอื่น

ซึ่งจุดนี้เอง เปิดช่องให้กระทรวงกลาโหมมีสิทธิพิเศษ ถือเป็นกระทรวงเดียวที่มีข้อตกลงพิเศษตามระเบียบที่เปิดช่องไว้

ยิ่งกว่านั้น ในส่วนของข้อบังคับกลาโหมว่าด้วยการเงิน การคลัง พ.ศ.2555 ระบุไว้ว่า ให้แบ่งเงินนอกงบประมาณเป็น 2 ประเภท โดยเฉพาะประเภทที่ 2 ระบุว่า ถ้าระบบบัญชีที่ใช้กันทั่วไปไม่เหมาะสม ให้ปรับระบบบัญชีและระบบตรวจสอบเองได้ด้วย

ทำให้เงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลาโหม “มีอภิสิทธิ์”

 

นายธนาธรตั้งคำถามอันแหลมคมว่า ทำไมนายพลในประเทศนี้ถึงมีทรัพย์สินมหาศาล ในส่วนของ สนช. 250 คน มีนายพลถึง 81 คน นายพลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดมีกว่า 800 ล้านบาท เฉลี่ยทั้ง 81 คน มีเฉลี่ยคนละประมาณ 80 ล้านบาท สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความสงสัยว่า ทรัพยสินมากมายเหล่านี้ กับเงินนอกงบประมาณ มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่

“ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตคือ เราจะได้เอกสารคำตอบที่ขอไปเมื่อไร ก็ต้องลองดูกันว่าเราจะได้เห็นข้อมูลนี้หรือไม่” นายธนาธรระบุ

พร้อมยกตัวอย่างแหล่งที่มาของเงินนอกงบประมาณ

เช่น สนามมวยลุมพินีและสนามม้า อัศวราชสีมา ที่ จ.นครราชสีมา มีข้อสงสัยว่า หน่วยงานเหล่านี้ขึ้นตรงกับบุคคล หรือนิติบุคคลใดกันแน่

เช่นเดียวกับการพนัน ซึ่งในสนามมวยมีการพนันหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่สนามม้านั้นมีแน่ๆ ตามกฎหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย 2524 บอกว่า ใครจะจัดการพนันม้า ต้องขออนุญาตจากมหาดไทยทุกเดือน

คำถามคือ บุคคลหรือนิติบุคคลใดเป็นคนให้อนุญาตในการแข่งม้า ซึ่งยังหาไม่เจอ

นอกจากนี้ รายได้ของการเข้าชม หรือการพนันแข่งม้า ไปอยู่ที่ใครบ้าง ก็ไม่ทราบ

นายธนาธรย้ำว่า มวยและม้า ไม่ได้บอกว่าควรยกเลิก

แต่สิ่งสำคัญคือ ควรเปิดประมูลอย่างโปร่งใส ในระบบสัมปทาน เพื่อไม่ให้ประชาชนมีข้อกังขา ไม่ต้องมีเงินใต้โต๊ะ

“อีกตัวอย่างกรณีที่กระทรวงกลาโหมเคยนำเงินนอกงบประมาณไปให้บริษัท อาร์อีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด (มหาชน) กู้ 1,200 ล้านบาท โดยไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทดังกล่าว มีกองทัพบกถือหุ้นร้อยละ 50 และมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ประมาณ 10 คน ถือหุ้นอีกร้อยละ 50 ขณะที่ข้อมูลของกรมธุรกิจการค้า พบว่า บริษัทดังกล่าวมีทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท และขาดทุนต่อเนื่องหลายปี รวมเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาทอยู่แล้ว” นายธนาธรเปิดข้อมูลที่สาธารณชนไม่รู้กันอย่างกว้างขวางนัก

 

ขณะเดียวกัน นายธนาธรยังได้สอบถามข้อมูลเรื่องงบฯ ปฏิบัติการด้านข่าวสาร หรือไอโอ เนื่องจากไม่ปรากฏงบประมาณที่ใช้ แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีปฏิบัติการนี้อยู่ เช่น มีเฟซบุ๊กเพจกองพันทหารราบที่ 3 ทหารราบที่ 152 ซึ่งระบุที่ตั้งว่า อยู่ในค่ายทหาร แต่ปัจจุบันเพจนี้ถูกปิดไปแล้ว เพราะถูกรีพอร์ตเนื่องจากข้อมูลที่เพจสร้างขึ้นเกือบทั้งหมดเป็นข้อมูลเท็จ ที่มีเป้าหมายสร้างความเกลียดชังในสังคม

และโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว

ทั้งคำว่าชังชาติบ้าง

เป็นภัยต่อชาติ หรือการปกครองบ้าง

จึงมีคำถามกับกระทรวงกลาโหม ว่า มีปฏิบัติการ IO หรือไม่ ซึ่งในเล่มงบประมาณไม่ได้มีการระบุงบฯ ในส่วนนี้ไว้ แต่ในรายละเอียดอื่นๆ เอกสารบางชุด กลับดูเหมือนว่ามีการปฏิบัติการในส่วนนี้

“หากมีก็อยากทราบว่า อำนาจในการกำหนดเนื้อหาว่าใครชังชาติ หรือใครเป็นศัตรู อยู่ที่ใคร เพราะถ้าเราดูจากสิ่งที่เกิดขึ้น นี่คือเนื้อหาที่บิดเบือนข้อเท็จจริง และทำให้คนเกลียดชังกัน สิ่งสำคัญก็คือ การมีปฏิบัติการอย่างนี้อยู่ ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ หมายความว่าเป็นความเกลียดชังที่ถูกสร้างขึ้น สังคมจึงเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะมีปฏิบัติการนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เอง ชี้แจงกับ กมธ.ความมั่นคง ว่าไม่มี” นายธนาธรระบุ

 

นี่คือข้อมูล “อันแหลมคม” ที่ถูกเปิดต่อสาธารณะ

เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนายธนาธรตัดสินใจถอยออกจากระบบ คือ รัฐสภา

สะท้อนว่า แม้จะเป็นการถอย แต่ก็มิใช่การถอยแบบแพ้ย่อยยับของนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่

ดังที่ฝ่ายอริของพรรคอนาคตใหม่ประเมิน

หากเป็นการถอยในทางยุทธศาสตร์

และมียุทธวิธีอันเฉียบแหลม รองรับ

ที่ทำให้กองทัพ “คาดไม่ถึง”

เพราะคงประเมินศักยภาพของคู่อริ ว่าคงวนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ

โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธ ซึ่งไม่ยุ่งยากที่จะมีคำตอบ

แถมยังอาจย้อนเกล็ดคนถามได้ว่า มีความคิดชังชาติหรือเปล่า จึงพยายามมาซักไซ้ให้กองทัพอ่อนแอ เพราะไม่อาจซื้ออาวุธมาป้องกันประเทศได้

แต่นายธนาธรกลับไปเลือกเป้าอื่น

ด้วยการแตะไปยัง “เงิน” นอก “งบประมาณ”

ไม่ว่าเงินจากสถานีโทรทัศน์ ไม่ว่าเงินจากวิทยุกระจายเสียง ไม่ว่าเงินจากสนามม้า ไม่ว่าเงินจากสนามมวย ที่ไม่เคยมีการชี้แจงแสดงบัญชี

แตะระบบเกณฑ์ทหารใหม่ในแบบ “ท.ทหารทันสมัย”

ที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนทำ

ไม่เคยมีนักการเมืองไหนแตะ

นี่ย่อมเป็น “ยุทธวิธี” อันรองรับ “ยุทธศาสตร์” อย่างเป็นขั้นตอน

มิได้เป็นอาการในแบบ “หนีญะญ่าย พ่ายจะแจ”

ตรงกันข้าม กลับกดดันให้กองทัพต้องมีท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา

 

อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงการใช้เงินนอกงบประมาณกองทัพว่า เป็นเรื่องสวัสดิการให้ประโยชน์กับข้าราชการทหาร ประชาชน และข้าราชการที่มีรายได้น้อยทุกคน

จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงเพิ่มเติม เพราะโปร่งใสอยู่แล้ว โดยมีผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นตรวจสอบ คนที่ดำเนินการจะไปโกงได้อย่างไร

“เขาต้องการทำให้คนเข้าใจผิดกองทัพ ซึ่งกองทัพก็ไม่มีอะไร ที่สำคัญกองทัพมีผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นในการตรวจสอบการใช้เงินอยู่แล้ว การจะจำหน่ายเงินออกไปมีขั้นตอนในการดำเนินการอยู่แล้ว” พล.อ.ประวิตรย้ำ

พร้อมกับส่งสัญญาณไปยังการเคลื่อนไหวนอกสภาของนายธนาธร ว่า “ก็อย่าผิดแล้วกัน”

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) ระบุว่า เรื่องนี้ทุกคนต้องพิจารณาดูว่าเป็นเรื่องที่สมควร หรือไม่สมควร และต้องดูว่าวันนี้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ดังนั้น การเคลื่อนไหวที่ไม่สร้างสรรค์จะสมควรหรือไม่ ขอให้สังคมพิจารณาด้วย

 

เป็นการตอบแบบหลักการกว้างๆ และดูเหมือนจะไม่เอาใจใส่นัก ของพี่น้อง 2 ป.

แต่กระนั้น หลายฝ่ายเชื่อว่า เรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ

อย่างน้อยๆ สิ่งที่นายธนาธรตั้งคำถาม ก็ทำให้สังคมสงสัยและอยากฟังคำชี้แจงที่มากกว่านั้น

ขณะที่ฝ่ายที่ถูกถาม ก็คงไม่หยุดการไล่บี้ไปยัง “จุดอ่อน” อื่น

เพราะสิ่งที่นายธนาธรแสดงออกมานั้น มิใช่ฝ่ายแพ้ ตรงกันข้ามยังมีท่วงท่าพร้อมแตกหัก

ดังนั้น เกม “กำจัด” ก็คงเดินต่อ และเพิ่มอัตราเร่ง นั่นคือ เดินหน้ายุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิการเมืองนายธนาธรแบบถอนรากถอนโคนต่อไป

  พร้อมปักป้าย เขตทหารห้าม “ธนาธร-อนาคตใหม่” เข้า อย่างเด็ดขาด!