การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หลังถึง

ถ้าฉันมีชีวิตแบบที่เลือกได้จริงๆ…ฉันอยากมีชีวิตยังไง

หลับตาลงจนมองเห็นแต่เพียงสีเทาจางๆ ใต้ม่านเปลือกตา ร่างกายขยับโยกโยนไปกับการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ฉันอดคิดไม่ได้ว่า อาจมีเพียงสองสิ่งที่ผ่านเข้ามา…ชัดที่สุด

หนึ่ง คือการไม่มีชีวิตอยู่ ไม่ต้องมองเห็น ไม่ต้องหายใจ ไม่ต้องมีความรู้สึกนึกคิดอันใด เป็นอย่างก้อนหินสักก้อน เม็ดทรายสักเม็ด จะแน่นิ่งหรือกระดอนกระเด็น ก็แค่ก้อนหิน ก็แค่เม็ดทราย

สอง ย้อนกลับไปสู่วันที่มีสายหมอกเย็นๆ ห่มคลุมหมู่บ้าน ฉันกำลังรอซ้อนจักรยานของเพื่อน ฉันกำลังไปหาชื่นใจ…ไปหาเด็กหญิงนัยน์ตาดำขลับสุกใสที่เคยมีรอยยิ้มให้ฉันเสมอ

หรือ…อีกสักช่วงเวลา ที่ฉันยืนต่อหน้าแม่ มองดูแม่มวนบุหรี่ขี้โยด้วยสองมือหยาบกร้าน ณ เวลานั้น ที่เรายังอยู่ร่วมบ้าน

เรายังอยู่ด้วยกัน…ฉันยังอยู่ที่นั่น ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครัวเรือน

หยาดน้ำอุ่นๆ ท้นเอ่อจากขอบตา ต่อให้กำลังหลับตาฉันก็รู้ว่าในไม่ช้า มันจะเดินทางจากจุดกำเนิดไปสู่ร่องแก้ม ถ้าฉันตะแคงหัวผิดท่า น้ำตาอาจหยดลงบนเบาะรถ…มากเกินไป

 

แล้วถ้าฉันจะเขียนจดหมายสักฉบับในตอนนี้ ฉันควรจะเขียนถึงใคร

เขียนถึงชื่นใจ เขียนถึงแพรวพลอย เขียนถึงนางฟ้า เขียนถึงแม่…หรือว่าเพียงบัว

แล้วเนื้อความจดหมาย ฉันจะบอกว่าอะไร

การเดินทางที่ไร้จุดจบ การเดินทางที่ไร้เป้าหมาย หรือชีวิตที่ปราศจากเป้าหมายเช่นกัน

เมื่อตลอดเวลาของชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ทุกช่วงวารวัน ก็แค่การดิ้นรนอยู่ไป ต่อให้ตั้งเป้าหมายก็ไม่เคยได้ไปถึงสักอย่าง

แค่อยาก…มีชีวิตสงบเงียบเรียบง่าย ไม่ขาดแคลนปัจจัยสี่ มีเวลาอ่านเขียนบทกวี เพียงเท่านี้กลับพาฉันไปสู่ขุมนรกครั้งแล้วครั้งเล่า

 

สาปกลิ่นเหม็นไหม้ร้อนฉ่า

เวลาของความเจ็บปวดทรมาน

การคืบคลานบนพื้นเกลือกใบหน้า

เกินจะเป็นสุขกับรสน้ำผึ้งหวาน

ช่อดอกดวงบุหงาลดามาลย์

เพียงเบ่งบานพร่าเลือนเปื้อนน้ำค้าง

 

รอนแรมอยู่ในขุมนรก

ร้อนระอุในอกไม่ซาสร่าง

ใต้ผิวเนื้อคือโครงกระดูกเปราะบาง

รอยขีดจางบาดเฉือนจะเลือนไฉน

พยายามปั้นหน้าว่าสบายดี

เป็นมนุษย์ที่มีเรี่ยวแรงบนหลังไหล่

สองมือ สองขา หัวใจ

ยังเคลื่อนไหวบนสายพานการมีชีวิต

 

แต่นั่นคือฉันหรือ

คือคนที่ทำแต่สิ่งพลาดผิด

ราวตรรกะวิปลาสวันละนิด

ความรู้สึกนึกคิดเสื่อมสูญสลาย

 

ฉันจะไปสู่แห่งหนใดหรือ

หรือมันคือถนนอีกหมื่นสาย

หรือเส้นชัยจริงแท้แค่ความตาย

หรือสุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะ

เยาะหยันตัวเอง

 

[ถาม :

“”สิงห์” จ๊ะ ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มีคนทุกข์ มีคนอดอยากยากแค้นมากนะ ฉันไม่อยากเห็นคนเอาเปรียบกัน คนโกงกัน กดขี่กัน ฉันอยากเห็นทุกๆ คนช่วยเหลือกัน รักกัน

แต่ “สิงห์” จ๊ะ ฉันอ่านหนังสือ หรือได้ยิน ได้เห็น เรื่องของคนทุกข์ยาก ฉันเคยมีความคิดขึ้นมาว่า พวกเขาทนได้อย่างไร และทนไปทำไม ฉันคิดว่าเขาน่าจะฆ่าตัวตายไปเสีย ในเมื่อชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นสุข มีแต่ความทุกข์ยากหิวโหย…แต่โลกก็เป็นอยู่อย่างนี้มานาน ยังไม่มีการฆ่าตัวตายให้หมดไปสักที

ฉันคิดว่า การตายไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยนะ มันง่ายที่สุดที่จะหลุดพ้นไปจากสังคมเส็งเคร็งนี้ “สิงห์” ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหม ทำไมเขาถึงไม่ฆ่าตัวตายกัน”

ตอบ :

“เพราะด้วยการไม่แสวงหา “คำตอบ” แต่เข้าใจใน “คำถาม” เหล่านั้น

ความคิดของคุณน่ากลัวจัง คล้ายๆ ภราดา จิม โจนส์ แห่งกายานาที่ชวนคนฆ่าตัวตายหมู่เพราะคิดว่าโลกวิปริตผิดไปจากสิ่งที่ตนต้องการ…

“สิงห์” คิดว่า คนเรามีสิทธิที่จะกำจัดชีวิตของตนได้ ถ้าเขาต้องการ…แต่ไม่มีสิทธิจะไปกำจัดชีวิตของผู้อื่น ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างหรือชักชวนประการใดก็ตาม…

ยิ้มสิครับ…ยิ้มแล้วมองดูโลกเหมือนเช่นที่ นิฆอส ฆาซานซาคิส นักเขียนชาวกรีก “เรียนรู้” ชีวิตจากตัวละครในนนวนิยายเรื่อง ZORBA THE GREEK ของเขาว่า Zorba sees every thing everyday as if for the first time.”]

 

[ถาม :

“”สิงห์” จ๊ะ ช่วยตอบหน่อยซิว่า ความหมายหรือเหตุผลของการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์คืออะไร เมื่อก่อนเราคิดว่าเรารู้ แต่ตอนนี้เราสับสนมาก สับสนจนมองไม่เห็นเป้าหมายของการดำรงอยู่และคิดอยากไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป ไม่อยากจะเรียกว่า การฆ่าตัวตาย แต่ในคำนิยามทั่วไปมันคงหมายถึงวิธีการอย่างนั้น

ถ้าจะถามว่า แล้วเหตุผลของการจะไม่ดำรงอยู่คืออะไรล่ะ เราก็ตอบไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุผลที่จะดำรงอยู่ ก็ไม่ควรที่จะดำรงอยู่ก็เท่านั้น “สิงห์” ว่าเราคิดถูกหรือเปล่า ช่วยตอบที เราไม่รู้เหมือนกันว่า กว่า “สิงห์” จะได้ตอบจดหมายฉบับนี้ เราจะยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า”

ตอบ :

“”สิงห์” ก็ไม่รู้จะตอบคุณยังไง…คุณยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่าล่ะ ถ้ามีก็อย่าไปปวดกึ๋นมัวหา “เหตุผลที่จะดำรงอยู่” ให้เมื่อยกันไปเลย ออกไปฟอกปอดข้างนอก มองอะไรในแง่ที่มันสดใส หาเพื่อนที่เข้าใจ หาวันนี้ไม่ได้ วันหน้าก็อาจมี

ใครจะไปรู้ว่า ถ้าหากเราหยุด “เหตุผลที่จะดำรงอยู่” ด้วยการไม่ “ดำรงอยู่” เสียแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป คุณอาจไม่มีโอกาสได้รับรู้อะไรๆ ที่มันเฮงซวยเพิ่มขึ้น คุณจะไม่มีโอกาสต้อนรับกรุงเทพฯ ห่วยครบ 200 ปี คุณจะไม่มีอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะที่สำคัญคุณจะไม่มีโอกาสพบ “สิงห์”

ยิ้มไว้เถอะน่า ถ้ายิ้มไม่ค่อยออกก็ใช้สองนิ้วแหกมันไว้ ประคับประคองมันไว้จนกว่ามันจะยิ้มได้เองไม่ดีกว่ารึ การฆ่าตัวตายมันง่าย แต่การปฏิเสธมันให้สำเร็จต่างหากที่ง่ายกว่า”]

 

[ถาม :

“ศรัทธาคุณพอสมควร…ถึงอยากฟังความเห็นจากคุณบ้าง ดิฉันเคยคิดว่า จะไม่ให้คนอื่นมามีอิทธิพลเหนือตนเอง แต่ในบางครั้ง…ยามที่ดิฉันคิดว่าตัวเองอ่อนแอ และไร้สิ่งยึดเหนี่ยวนั้นคุณพอจะเดาได้ไหมว่า…ทำไม?”

ตอบ :

“ชีวิตคนเรามีทั้งยามเข้มแข็งและอ่อนแอ และเราต้องเลือกคนที่จะแสดงความเข้มแข็งให้เขาเห็น แต่ก็คงมีบางคนที่เราเลือกไว้สำหรับบอกความอ่อนแอบางอย่าง…การมีเพื่อนแท้ มีกัลยาณมิตรจึงสำคัญอยู่ตรงนี้

ส่วนที่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบง่ายๆ ก็คือ เราควรจะ “เลือก” ร้องไห้กับคนที่รู้จักการร้องไห้เหมือนเรา”]

 

[คนเดินทางคะ

จดหมายของเธอเศร้าจังเลย ฉันไปข้างนอกกลับมา เห็นจดหมายของเธอรออยู่ อุตส่าห์รีบหยิบวิ่งเข้าห้องมาเปิดอ่าน นึกว่า…เธอจะเขียนเล่าเรื่องอะไรสวยๆ งามๆ มาให้ฟัง กลายเป็นว่าเธอทำน้ำตาฉันหยดจนได้

ฉันไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกได้ว่าจดหมายของเธอมีแต่ความเจ็บปวดมากมายเต็มไปหมด มันดูจะอยู่ในทุกๆ บรรทัดที่เธอเขียนมา แม้แต่เวลาที่เธอเล่าถึงต้นอ้อ กอแขม ดอกหญ้าข้างทางที่เธอเดินผ่านตอนเช้าตอนเย็น ก็ทำให้ฉันเห็นแต่บรรยากาศที่เหงาจับใจ

เราเป็นคนเหงาของยุคสมัยหรือเปล่า แบบที่ “สิงห์” เขาว่าไว้

แต่ฉันก็อยากจะเห็นต่างกับเธอนะ ถ้าไม่เป็นคน ฉันก็ไม่อยากเป็นอะไรหรอก เป็นก้อนหินไปทำไม เพื่อให้ใครๆ เหยียบย่ำเหรอ ถ้าเธอเป็นก้อนหิน เธอรู้เหรอว่าตัวเองจะได้เป็นหินที่ไหน บนภูเขาหรือที่หุบเหวล่ะ

นี่แน่ะ ท่านจิตร ภูมิศักดิ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

ลุกขึ้นเถิดเพื่อนยาไยหน้าเศร้า

คำเก่าๆ มิได้บอกไว้ดอกหรือ

อย่าท้อแท้แพ้พึมซึมกระทือ

“ชีวิตคือการต่อสู้” รู้หรือยัง?

ฉันขอมอบให้เธอนะคนเดินทาง]

 

มีตัวหนังสือมากมาย หลั่งไหลกลับเข้ามาในหัวของฉัน ตั้งแต่คำถาม-คำตอบเก่าๆ จากหนังสือปกสีดำที่เพียงบัวส่งมาให้ ข้อคิดจากคนที่ใช้ชื่อว่า “สิงห์สนามหลวง” รวมถึงหลายๆ วรรคตอนในจดหมาย

เพียงบัวคอยให้กำลังใจฉันเสมอ และเธอก็รอคอยจะได้พบเจอฉัน เราเคยมีความฝันร่วมกัน แต่ก็เป็นตัวฉันที่ทำทุกอย่างพังไป

ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นฉันที่หลงวนอยู่ในเขาวงกตของความทรงจำซ้ำๆ ย้ำคิด ย้ำเขียน วนเวียนอยู่กับสิ่งที่มีในชีวิต…ชีวิตที่เอาเข้าจริงๆ รู้สึกถึงแต่ความเจ็บปวดเสมอมา

ฉันเฝ้าวิ่งวนเพื่อจะไขว่คว้า แต่ก็ไปข้างหน้าเพื่อจะเคลื่อนถอยหลังร่ำไป

ฉันไม่อาจจะตั้งหลักได้จริงๆ สักที เพราะฉันไม่มีความเข้มแข็งอะไรสักอย่าง ถึงที่สุด ฉันก็แค่ตัวหนอนซ่อนตัวใต้เปลือกผิวบอบบาง ฉันเจ็บ ฉันแสบ ฉันร้อน ฉันหนาว ฉันเหม็นคาวกลิ่นตัวเองจนคลื่นเหียนเต็มที

ตัวฉันนี่แหละที่ช่างโสโครกสิ้นดี แม้แต่ในยามนี้ ที่มานอนน้ำตาไหล หลังถึงจุดสุดยอดไปกับงูพิษตัวหนึ่ง