วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร /ราชโองการ เหมยฉางซู เข้าวัง (21)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

ราชโองการ เหมยฉางซู เข้าวัง (21)

การประลองยุทธ์เพื่อชิงตำแหน่งคู่ครองให้กับหนีหวงจวิ้นจู่ได้เข้าสู่จุดรุนแรง แหลมคม คือความโดดเด่นขึ้นมาของจอมยุทธ์ชาวเป่ยเอี้ยน

สามารถโค่นจอมยุทธ์ต้าเหลียงได้ภายใน 1 กระบวนท่า

“วันนี้ จู่ๆ ก็สำแดงฤทธิ์ออกมา ดูท่าไม่ใช่แค่อยากเอาชนะ แต่ยังถือโอกาสนี้ข่มขวัญคู่ต่อสู้หลายคนที่เหลือด้วย”

ข้อสังเกตจากเซียวจึ่งรุ่ยสมควรล้างหูน้อมรับฟังอย่างเป็นพิเศษ

“พลังฝีมือของไป่หลี่ฉี (พิสดารร้อยลี้) สูงล้ำจริงๆ หากคนผู้นี้ประมือกับองครักษ์เหมิงซึ่งมีพลังภายในลึกล้ำเช่นกันก็ยังไม่แน่ว่าจะครองความได้เปรียบ”

คำพูดตรงนี้สะท้อนความหมายลึกล้ำอย่างยิ่ง

หนีหวงจวิ้นจู่แม้เป็นยอดฝีมือหญิงหนึ่งเดียวที่ติดอันดับรายชื่อยอดฝีมือของทำเนียบหลางหยา พลังฝีมือเหนือกว่าคำว่าล้ำเลิศ แต่อย่างไรก็เป็นสตรีเพศ อาศัยทักษะเป็นตัวหลัก พลังเป็นตัวเสริม หากปะทะกับพลังฝีมือแข็งแกร่งชนิดนี้นับว่าเสียเปรียบที่สุด

หากพลาดพลั้งเสียท่า นั่นต้องกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่นอน ประเด็นก็คือ จะปล่อยให้ไป่หลี่ฉีจากเป่ยเอี้ยนเข้ามาประฝีมือกับหนีหวงจวิ้นจู่ไม่ได้เป็นอันขาด จำเป็นต้องดำเนินกลยุทธ์อย่างแยบยล

นั่นก็คือ ให้ระหว่างกลางมีอะไรมาแทรกจึงจะถูก

 

และแล้วตัวเบียดแทรกระหว่างกลางก็ค่อยปรากฏเป็นห้วงๆ อย่างนอกหนือความคาดหมาย ประการแรกสุดก็คือ มีราชโองการเข้ามายังจวนหนิงโหว

“องค์จักรพรรดิทรงมีพระดำรัสให้ซูเจ๋อเข้าเฝ้าหลังเสร็จสิ้นการประชุมเช้า”

หนุ่มๆ ทั้งหลายพอสันนิษฐานได้ว่า เป็นหนีหวงจวิ้นจู่กราบทูลรายงานต่อองค์จักรพรรดิ จึงไม่รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด

รุ่งเช้าวันถัดมา มีรถม้าของจวนมู่หวังมาจอดรอรับ ยิ่งเป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของทุกคน

เมื่อผ่านประตูเจิ้งอี่ตรงไปยังตำหนักอู่อิง ไม่เพียงแต่หนีหวงจวิ้นจู่พามู่เสี่ยวหวังเยมาแนะนำตัวและน้อมคารวะ

ยังประสบเข้ากับจิ้งหวัง

เซียวจิ่งเหยียนกำลังสาวเท้าก้าวใหญ่ตรงมาจริงๆ จิ้งหวังประสานสายตากับเหมยฉางซูวูบหนึ่งก่อนเคลื่อนออกรวดเร็ว

“เพื่อศักดิ์ศรีต่ำต้อยของหนีหวง ทำให้จิ้งหวังต้องเสียเวลาแล้ว”

 

“ไห่เยี่ยน” บรรยายฉากสำคัญต่อจากนี้อย่างแหลมคมเป็นพิเศษ หลังหนีหวงจวิ้นจู่รำพึง “ทั้ง 2 ท่านปฏิบัติการพร้อมเพรียงดีจริง”

เหมยฉางซูไม่ต้องหันกลับไปก็รู้ว่านางหมายถึงใคร

จริงดังคาด แค่ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าของรัชทายาทและอวี้หวังตรงเข้ามาทักทายทุกคนที่เชิงบันไดอย่างเป็นกันเอง คล้ายต้องการแสดงถึงความเป็นคนเปิดเผยใจกว้าง

เหมยฉางซูทางหนึ่งสนทนากับทั้ง 2 ทางหนึ่งหันไปดูหนีหวงจวิ้นจู่กับมู่ซิง

ขณะที่ทางด้านเซียวจิ่งเหยียนนั้นเล่า ยืนมองรัชทายาทและอวี้หวังอย่างเย็นชา สายตาทอประกายชิงชัง

นี่คือความจริงใจของเซียวจิ่งเหยียน

สภาพระหว่างรอคอยดำเนินไปอย่างไร รัชทายาทและอวี้หวังเพื่อเอาหน้าใครก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายอยู่กับเหมยฉางซูตามลำพัง ดังนั้น ทั้ง 3 จึงยืนอยู่ด้วยกัน

มู่ซิงเลื่อมใสศรัทธาในผลงานการรบของจิ้งหวังมาตลอด บวกกับรู้สึกว่าบุรุษสมควรสนทนาเรื่องศึกสงคราม ดังนั้น จึงขอคำชี้แนะด้านพิชัยยุทธ์กับเซียวจิ่งเหยียน หนีหวงจวิ้นจู่ประเดี๋ยวฟังทางนั้น ประเดี๋ยวคุยกับทางนี้ ท่าทีผ่อนคลายมากกว่าใคร

ประมาณ 1 เค่อ (15 นาที) ผ่านไป ได้ยินเสียงเคาะดังขึ้นที่นอกตำหนัก เจ้าหน้าที่ขานเสียงยาวเหยียด

“ฝ่าบาทเสด็จ”

ภายในตำหนักเงียบกริบทันที ทุกคนยืนสงบเสงี่ยมเป็นระเบียบ เหมยฉางซูถอยไปยังมุมหนึ่ง รอกระทั่งเงาร่างในฉลองพระองค์สีเหลืองประทับนั่งบนบัลลังก์ค่อยคุดเข่าถวายบังคมพร้อมกับคนอื่นๆ

 

องค์จักรพรรดิแห่งต้าเหลียงล่วงเลยวัยกลางคน พระเกศา 2 ด้านขมับเป็นสีขาวประปราย พระพักตร์ปรากฏรอยย่น แต่พระอิริยาบถยังคงไว้ซึ่งความสง่างาม

สายพระเนตรพุ่งตรงมาที่ร่างเหมยฉางซู

สำหรับองค์จักรพรรดิผู้ทรงเกียรติศักดิ์สูงสุด จะประมุขพรรคบูรพานทีหรือพรรคใหญ่สุดในแผ่นดินอะไรก็ตาม ล้วนเป็นเรื่องห่างไกลจากราชสำนักทั้งสิ้น เหตุที่พระองค์สนพระทัยในตัวเหมยฉางซู นั่นก็เพราะว่าทรงเข้าพระทัยเช่นเดียวกับมู่ซิง

ทรงคิดว่าเขาคือผู้ที่หนีหวงจวิ้นจู่เลือกไว้แล้วในใจ