บทวิเคราะห์ : ศึกเลือกซ่อม เขต 7 ขอนแก่น เพื่อไทยรักษาเมือง พปชร.ลุยล้มแชมป์

หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ “นายนวัธ เตาะเจริญสุข” ส.ส.เขต 7 ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย (พท.) พ้นสภาพการเป็น ส.ส. เนื่องศาลตัดสินประหารชีวิตจากคดีจ้างวานฆ่า “สุชาติ โคตรทุม” อดีตปลัด อบจ.ขอนแก่น พื้นที่เขต 7 ขอนแก่น และศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องติดคุก พร้อมกับกำหนดให้มีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ภายใน 45 วันตามกฎหมาย

มหากาพย์คัดตัวผู้สมัครลงชิงชัยในศึกเลือกตั้งซ่อมในนาม “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะพรรคเจ้าของพื้นที่ก็ระอุขึ้นมาอีกครั้ง

เนื่องจากมีผู้ประสงค์เป็นตัวแทนลงสมัครในพื้นที่ดังกล่าวถึง 2 คน คือ “นายอดิศร เพียงเกษ” แกนนำพรรคเพื่อไทย และ “นายธนิก มาสีพิทักษ์” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

แม้ “อดิศร” จะเคยเป็น ส.ส.เขตนี้มา 5 สมัย แต่ก็ร้างพื้นที่ไปนานกว่า 10 ปี

และที่สำคัญ อดิศรแม้จะเกิดและโตในพื้นที่ แต่ครอบครัวเป็นคนที่อื่น

ขณะที่ “ธนิก” ญาติพี่น้อง ต้นตระกูล รวมถึงตัวเอง เกิด โต และใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่มาโดยตลอด

ไม่ต้องพูดถึงฐานเสียง แค่ครอบครัวเจ้าตัวครอบครัวเดียวก็หลายสิบเสียงแล้ว

นอกจากนี้ ตัว “ธนิก” เองก็มีจุดแข็งคือ เป็นคนใจนักเลง มีทุนของตัวเองแบบที่ไม่ต้องรอพรรคซัพพอร์ต พร้อมเดินหน้าไปก่อนได้ทันที

แถมยังเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ในการเลือกตั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ยอมถอยให้ “นวัธ” ทั้งที่พรรคเห็นควรว่าควรส่ง “ธนิก” ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตดังกล่าวตั้งแต่ต้น เพราะตัว “นวัธ” มีปัญหาเรื่องคดีความติดตัว แต่การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 เดือดจนถึงขั้นกระโดดถีบกันในที่ประชุมพรรคเสียก่อน พรรคจึงส่ง “นวัธ” ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เดิมลงไปก่อน

โดยให้สัญญาลูกผู้ชายกับ “ธนิก” ว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นกับ “นวัธ” ไม่ว่ากรณีใด จะต้องส่ง “ธนิก” ลงรักษาพื้นที่แทน

แต่เหมือนอาถรรพ์ เขต 7 ขอนแก่น ของพรรคเพื่อไทยที่ใครจะลงสมัครเขตนี้ต้องมีเรื่องวุ่นก่อน การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อมีคนเบอร์ใหญ่ในพรรคหนุนทั้ง “อดิศร” และ “ธนิก” ทั้งคู่ ทำให้ช่วงก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษากำหนดวันเลือกตั้ง ชาวบ้านเขต 7 จึงได้เห็นภาพการเดินทำพื้นที่ขอคะแนนจากประชาชนในพื้นที่ของทั้ง 2 คน

ชาวบ้านก็ได้แต่เอียงคองง เพราะต่างคนต่างก็บอกว่า “ลงในนามพรรคเพื่อไทย”

ตัว “ธนิก” มีดี พร้อมมีสัญญาลูกผู้ชายที่ติดค้างกันอยู่ แต่ไม่มีชื่อ ฝีมือในสภาก็ยังไม่เป็นที่ประจักษ์

ขณะที่ “อดิศร” ชื่อชั้นมีภาษีกว่า แถมสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในสภาผู้แทนราษฎรช่วงนี้ก็ต้องการคนที่มีฝีปากและฝีไม้ลายมือแบบ “อดิศร” เข้าไปฟาดฟัน

แต่ความห่างพื้นที่ไปนานทำให้หวั่นใจ พรรคก็ทำโพลสำรวจอยู่หลายครั้ง

ผลออกมาคะแนนทั้งคู่ก็สูสีกันอีก แต่ก็ต้องรีบตัดสินใจเคาะชื่อเพื่อความชัดเจน และการวางเกมหาเสียงแต่เนิ่นๆ

งานนี้เสียเหล้าหลายไห เคลียร์ใจหลายยกกับ “อดิศร” เพราะ ส.ส.ขอนแก่นของพรรค คณะกรรมการจังหวัด ส่งเสียงหนุน “ธนิก” ในฐานะคนพื้นที่ในที่สุด

ส่งผลให้คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครของพรรคต้องยึดเอามาประกอบการตัดสินใจ บวกกับเหตุผลอื่นๆ ยื้อกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็จบที่มือ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่จับเข่าทำความเข้าใจกัน ขอโทษขอโพย พร้อมรับปากว่าจะให้ “อดิศร” ลงสมัครรับเลือกตั้งในอีกเขตหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นเหมือนกันในอนาคต

ทำให้ “อดิศร” ยอมถอย นั่งร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่ในพรรคแถลง เห็นด้วยกับมติของคณะกรรมการบริหารพรรคว่า “ธนิก” คือคนที่เหมาะสม เพราะเกาะติดพื้นที่มาตลอด

และหาก “เพื่อไทย” ชนะการเลือกตั้งในเขตดังกล่าว “นายธนิก” จะสามารถดูแลพื้นที่และพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี

และเพื่อเน้นย้ำว่าไม่มีปัญหากัน “อดิศร” ยืนยันว่าเขากับ “ธนิก” จะทำงานควบคู่กัน

อีกทั้งตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นโฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอให้พี่น้องประชาชนสนับสนุน “ธนิก” โดยทุกคะแนนที่ตั้งใจจะให้ตัวเองก็ขอให้มอบให้ “ธนิก” ด้วย

ถือว่าจบได้เท่มาก

อย่างไรก็ตาม หัวเมืองใหญ่ของอีสานอย่าง “ขอนแก่น” เป็นพื้นที่ที่เป็นทั้งฐานที่มั่นที่มั่นคง เป็นทั้งศักดิ์ศรี เป็นความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะพื้นที่เขต 7 ยิ่งเป็นพื้นที่ที่ “เพื่อไทย” จะพ่ายเสียพื้นที่ให้กับพรรคอื่นไม่ได้!

เพราะตั้งแต่ “พรรคไทยรักไทย” ก่อตั้ง ผ่านมาถึงมือ “พลังประชาชน” จนมาถึงมือ “เพื่อไทย” พรรคใหญ่แห่งถนนเพชรบุรี ยังไม่เคยเสียพื้นที่นี้ให้กับใคร

ดังนั้น การเลือกตั้งซ่อมเขต 7 ขอนแก่นครั้งนี้น่าจะได้เห็นปรากฏการณ์ “แกนนำเพื่อไทย” แห่แหนจัดทัพน้อย-ใหญ่ลงพื้นที่ช่วย “ธนิก” หาเสียงขอคะแนนในพื้นที่ไม่หยุดหย่อน

เพราะคู่แข่งอย่าง “สมศักดิ์ คุณเงิน” ผู้สมัครจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ก็มีพลังในพื้นที่นี้ไม่น้อย เนื่องจากลงทำพื้นที่มาโดยตลอดไม่เคยห่าง ชาวบ้านรักใคร่ ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาก็แพ้ ส.ส.หลายสมัยอย่าง “นวัธ” เพียง 3,000 คะแนนเท่านั้น ถือว่าตัวบุคคลฝั่ง “พลังประชารัฐ” มีภาษี ถือว่าเป็นตัวดีในพื้นที่

“พลังประชารัฐ” เองก็รู้จุดสำคัญจุดนี้ จึงเตรียมระดมสรรพกำลัง พร้อมจัดทัพใหญ่ลงสนับสนุน “สมศักดิ์” เต็มที่เหมือนกัน

เพราะนอกจากจะเป็นศึกล้างตาแล้ว หากชนะ คะแนนเสียงในสภาที่ในอยู่สภาพปริ่มน้ำของรัฐบาลจะได้เพิ่มมาอีก 1 เสียงด้วย

ดังนั้น เลือกตั้งซ่อมในพื้นที่สีแดงครั้งนี้ของ “พลังประชารัฐ” จึงกางแผน ปรับยุทธศาสตร์ในการหาเสียงใหม่ โดยเน้นการลุยพื้นที่ให้หนักมากขึ้น ออกพบปะประชาชนให้ได้มากที่สุด เดินเคาะตามประตูบ้าน และจัดปราศรัยย่อยตามชุมชนและหมู่บ้าน

ที่สำคัญคือ ระหว่างที่ “เพื่อไทย” ยังไม่ชัดเจนเรื่องตัวผู้สมัคร “สมศักดิ์” พาแบรนด์พรรค “พลังประชารัฐ” เดินทำพื้นที่และโหมโรงหาเสียงล่วงหน้ามาระยะหนึ่ง มีการแย้มว่าการหาเสียงคืบหน้าไปกว่า 40% แล้วด้วย

นาทีนี้พูดได้เลยว่า สูสี หายใจไม่โล่งโปร่งท้อง โอกาสแพ้-ชนะ 50-50 ต่างฝ่ายต่างมั่นใจว่าจะคว้าชัยทั้งคู่

มีเสียงกระซิบบอกว่า ศึกป้องกันเมืองครั้งนี้ ถึงขนาด “เพื่อไทย” ต้องขอความร่วมมือจากพรรคการเมืองพันธมิตรฝ่ายค้านร่วมแรงลงใจ ช่วยกันหนุน “ธนิก” วางยุทธศาสตร์หลบหลีกให้พรรคเจ้าของพื้นที่อย่างพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครเพียงพรรคเดียว เพื่อไม่ให้เกิดการตัดคะแนนกันแม้แต่คะแนนเดียว

แม้แต่พรรคการเมืองใหม่อย่าง “ประชาชาติ” ที่ก่อนหน้านี้ประกาศกร้าวว่าพร้อมส่ง “นาวิน คำเวียง” ลงชิงชัยในเขตดังกล่าวก็ยอมถอนตัวหลังมีการประกาศตัวผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย

คงต้องดู “พลังพรรค” ของ “เพื่อไทย” ว่ายังมีมนต์ขลังพอที่จะช่วยขุนพลป้องกันเมือง “ขอนแก่น เขต 7” ไว้ได้อยู่หรือไม่

เพราะหากพ่ายครั้งนี้ นอกจาก “เพื่อไทย” จะเสียเสียงในสภาไปอีก 1 เสียงแล้ว

ยังกระทบฐานที่มั่นสำคัญและมนต์ขลังของนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วย