ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
เรื่องเก่าขุดมาเล่าใหม่
เป็นข้อมูลตั้งแต่ปี 2558 เขียนครั้งแรกเมื่อ 2558 แล้วมาเขียน 2559 ซ้ำอีกที
ปรากฏว่าถึง 2562 ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน
ขออนุญาตจัดไปอีกรอบ
ว่าถ้าไหนๆ คิดอะไรไม่ออก ตั้งหน้าตั้งตาจะแจกเงินกันอย่างเดียว (ซึ่งทำมาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 2557 จนถึงปัจจุบัน)
แจกตรงไหนถึงจะตรงเป้าตรงกับความต้องการของชาวบ้านมากที่สุด
ผลวิจัยของเอ็มไอที หรือสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ หนึ่งในมหาวิทยาลัยระดับต้นๆ ของโลก ในเรื่องผลของโครงการประชานิยมใน 7 ประเทศพบว่า
1. คนจนทั่วไปรับเงินแล้วไม่ได้งอมืองอเท้า
แต่ยังทำงานเท่าเดิม (หรือถ้าเศรษฐกิจแย่อาจจะต้องหนักกว่าเดิม)
2. เงินที่ได้จากรัฐ ไปใช้จ่ายในสองเรื่องหลักคือ
– การศึกษาของบุตรหลาน
– สาธารณสุข
ในเมืองไทย โครงการ 30 บาททุกโรคนั้นติดอันดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ถ้าจะทำให้ดีขึ้นอีก เอาเข้าจริงทำไม่ยาก
และใช้สตางค์น้อย
แต่ใช้สติและความมุ่งมั่นมากๆ (โดยเฉพาะการปรับความเคยชินของคนในระบบสาธารณสุขบางส่วน)
มาถึงการศึกษาของบุตรหลาน เอาเข้าจริงก็ไม่ต้องทุ่มเงินมหาศาลเติมลงไปอีกเช่นกัน
แต่ทำให้โครงการ “เรียนฟรี” มันฟรีจริงๆ
หรือต้องคิดนอกกรอบกันบ้าง
เช่น จำเป็นหรือไม่ที่จะยุบโรงเรียนขนาดเล็กไปรวมกันเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ ในนามของการลด “ต้นทุน” ของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน (ซึ่งไม่รู้ว่าจริงไหม)
เพราะการลดต้นทุนของรัฐครั้งนี้ ไป “เพิ่มต้นทุน” ของชาวบ้านมากขึ้น
ตั้งแต่เวลา ค่าเดินทาง และความสะดวกอื่นๆ ในชีวิต
มีทางอื่นไหมที่จะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพขึ้นในโรงเรียนขนาดเล็ก
เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยอะไรได้หรือไม่
หรือจะปฏิรูปกระทรวงศึกษาฯ จริงๆ
ด้วยการยุบโครงสร้างธุรการที่ใหญ่โตเทอะทะ แล้วเอาคนกลับไปเป็นครูเพิ่มขึ้นดีไหม
เรื่องเหล่านี้ทำได้โดยใช้เงินไม่มาก
แต่ใช้สติปัญญา ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าเป็นหลัก
และถ้าทำได้ (ไม่ต้องถึงขั้นอุดมคติ เอาแค่ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้)
ต้นทุนชีวิตของชาวบ้านก็ลดลงไปอีกพะเรอ
คำถามคือกล้าทำและทำเป็นไหม
แล้วก็มาถึงว่า เมื่อประหยัดเงินบางส่วน (รวมทั้งที่ไปซื้ออาวุธแบบผิดกาลเทศะอีกหลายหมื่นหลายแสนล้าน) ได้แล้ว
แต่เศรษฐกิจโลกและโครงสร้างเศรษฐกิจภายในไม่เป็นใจ
ยังจะต้องแจกเงินต่อไป-จะแจกตรงไหน
ตรงนี้ขออนุญาตเห็นด้วยกับประเด็น 3 สูงของเจ้าสัวธนินท์เขาอีกหน
ราคาสินค้าเกษตรสูง/ค่าแรง (ทั้งเอกชนและราชการสูง)/ประสิทธิภาพการทำงานสูง (จากเทคโนโลยีและการจัดการที่เหมาะสม)
เพราะ 3 สูงนี้ไม่ใช่ของใหม่
ปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นได้ในศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะในอังกฤษเป็นที่แรก ก็ด้วยปัจจัย 3 สูงนี้
ใครสงสัยหรืออยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ไปหาหนังสือ “ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก” ของสำนักพิมพ์สเคปบุ๊คมาลองอ่านดูนะครับ
ในหนังสือเล่มที่ว่านี้ เขาชี้ประเด็นให้เห็นด้วยว่า
ไม่เคยมีประเทศไหนสามารถยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน หรือก้าวกระโดดในการพัฒนาได้ ด้วยการกดค่าจ้างแรงงานและราคาสินค้าให้ต่ำ
ยิ่งกด มีแต่ยิ่งถอยหลังเข้าคลอง
กลายเป็นประเทศด้อยพัฒนา
ที่เขียนทั้งหมดมายาวยืดนี้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
แค่อยากจะบอกว่า การแจกเงินแบบหว่านให้คนออกมาใช้จ่ายหรือเป็นหนี้มากขึ้นนั้น
ไม่ได้ผล
เพราะถ้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง เศรษฐกิจไทยคงรุ่งเรืองมาหลายปีแล้ว
อยากจะให้เศรษฐกิจดีขึ้น ต้องทำให้คนส่วนใหญ่มี “รายได้” มากขึ้น
ไม่ใช่มี “หนี้” มากขึ้น
หรือโปรยทานให้จับจ่ายใช้สอยอย่าง “หัวแหลกหัวแตก” มากขึ้น
คําถามคือจะเพิ่มรายได้เกษตรกรและคนจน-คนชั้นกลางระดับล่างในเมืองอย่างไร
อันนี้ได้ว่ากันยาวๆ อีกเรื่อง
แต่ที่แน่ๆ คือ “ทัศนคติ-วิธีปฏิบัติแบบทหาร” ที่เที่ยวไป (ถือปืน) สั่งชาวบ้านห้ามทำนาปรัง หรือใช้อำนาจไล่คนหาเช้ากินค่ำออกจากถนน-ข้างทาง โดยไม่มีอะไรรองรับว่าเขาจะทำมาหากินอย่างไรต่อไป
สร้างโอกาสหรือพัฒนาอะไรขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ
จะเปลี่ยนทัศนคติหรือเปลี่ยนรัฐบาล
อันนั้นก็ว่ากันอีกเรื่องเช่นเดียวกัน