วิเคราะห์ | ประกาศสงครามปราบ “ลัทธิชังชาติ” “นพ.วรงค์” หัวหอก-ระวังบานปลาย อย่าให้หลุดออกจากโลกของการใช้เหตุผล

และแล้วคำว่าชังชาติก็กลายเป็นอีกหนึ่งวาทกรรมศัพท์การเมืองร่วมสมัยในปัจจุบัน ถูกใช้อย่างหลากหลาย เริ่มจากในสื่อโซเชียล จนกลายเป็นคำพูดติดปากของนักการเมืองบางกลุ่ม

ความหมายในทางสากล น่าจะหมายถึงกลุ่มคนที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับความเป็นชาติ แต่เมื่อเข้ามาสู่ประเทศไทยแล้ว ลัทธิชังชาตินี้มีปัญหา เพราะในการเมืองไทย ว่ากันตรงๆ ต่างฝ่ายก็อ้างว่าตนเองรักชาติ และเมื่อดูจากข้อเสนอนโยบายของทั้งสองฝ่ายแล้วก็ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่รักชาติ

ว่าด้วยที่มาของคำว่าชังชาติ ไม่ปรากฏชัดว่าใครเป็นคนใช้คนแรก แต่มันถูกใช้อย่างมากหลังการรัฐประหารปี 2557

ถ้าย้อนดูข่าวในอดีต 2 คนแรกที่ถูกวิจารณ์ว่าชังชาติ น่าจะเป็นกรณีนักร้องสาววัยรุ่น สุธิตา ชัยชนะสุวรรณ หรือ “อิมเมจ เดอะวอยซ์” ที่โพสต์ทวิตเตอร์แบบรัวๆ วิจารณ์การคมนาคมและสวัสดิการของไทย โดยมีวาทะเด็ดคือ “ประเทศเฮงซวย จะอีก 50 ปี หรือ 1,000 ปีก็ไม่เจริญขึ้นหรอก ยิงกูดิ”

ข้อความนี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์อย่างถล่มทลายว่า หากไม่รักชาติ ทำไมไม่ย้ายออกจากประเทศนี้ไป เป็นคนไทยเหตุใดจึงไม่ภูมิใจในชาติตัวเอง สุดท้ายเจ้าตัวออกมาขอโทษ และยอมรับว่าเหตุที่โพสต์ก็เพราะหงุดหงิดที่รอรถเมล์นาน โดยเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ

อีกคนน่าจะเป็นปิยบุตร แสงกนกกุล ช่วงที่ยังเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์กรณีภรรยาชาวต่างชาติของตนติด ตม.ที่สนามบินดอนเมืองนาน 5 ชั่วโมง พร้อมด้วยวาทะ “ประเทศเฮงซวย” ที่คาดว่าผลิตซ้ำ หยิบยืมจากอิมเมจ

ก่อนโดนกระหน่ำเมนต์แสดงความไม่พอใจอย่างมหาศาลแล้วไล่ให้ไปอยู่นอกประเทศเช่นเดิม

หลังประเทศไทยมีการเลือกตั้ง ประเทศสิ้นสุดยุค คสช.แบบเป็นทางการ (แต่แบบไม่เป็นทางการยังดำรงอยู่) ปิยบุตรกลายเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองฝ่ายค้าน หัวหอกฝ่ายค้านนำการอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายผู้มีอำนาจอย่างถึงแก่น

ปิยบุตรจึงกลายเป็นตำบลกระสุนตก วัตถุดิบชั้นดีของการวิจารณ์เรื่องชังชาติ โดยฝ่ายวิจารณ์หยิบจับแนวคิด คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ในอดีต จับเข้าใส่ทฤษฎีชังชาติ จนล่าสุดกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากวาทกรรมดังกล่าวมากที่สุด

ไม่ว่าจะเป็น นางหฤทัย ม่วงบุญศรี หรือ “อุ๊” นักร้องดังที่เคยขึ้นโรงพักแจ้งความปิยบุตร มักโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก เรียกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตัวเองว่าพวกชังชาติ

หรือช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นช่วงการแถลงนโยบายของรัฐบาล ฝ่ายสนับสนุนก็วิจารณ์ฝ่ายค้านว่าเป็นพวกชังชาติ จนหมอชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.เพื่อไทยต้องออกมาทวีตว่า “รัฐบาลไม่ใช่ชาติ เป็นเพียงคณะบุคคลที่เข้ามาบริหารประเทศ บริหารดีคนรัก บริหารไม่ดีคนไม่ชอบ อย่ามโนหรือตั้งตรรกะวิบัติว่ารัฐบาลคือชาติ คนไม่พอใจรัฐบาลถือว่าเป็นพวกชังชาติ”

ลามไปจนถึงนายศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนทางการเมืองขาประจำ เขายื่นกับอัยการขอให้สอบนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เดินทางไปพบนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหลายประเทศ อ้างว่า

“มีพฤติการณ์และคำให้สัมภาษณ์ต่างๆ อาจเข้าข่าย “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” หรือ “การชังชาติ” ทำให้เอกราชของชาติเสื่อมเสียไป อันอาจต้องด้วยความผิดตาม ป.อ.มาตรา 119″

สําหรับวาทกรรมชังชาติ คนที่นำมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม มีความต่อเนื่องและพยายามสร้างกรอบคิดอย่างเป็นระบบมากที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยการวิจารณ์โครงการจำนำข้าว ล่าสุด แพ้ขาดลอยให้กับผู้สมัครโนเนมจากอนาคตใหม่

คนนี้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับพรรคอนาคตใหม่อย่างชัดเจน

เริ่มจากวิจารณ์การเดินทางไปต่างประเทศพบปะผู้นำการเมืองในยุโรปของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

หรือการเรียกม็อบฮ่องกงว่าเป็นม็อบชังชาติหลังทางการจีนวิจารณ์นายธนาธรที่ปรากฏรูปกับโจชัว หว่อง

ระยะหลังหมอวรงค์ยิ่งถลำลึก ยกหลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องชังชาติมาโพสต์บ่อย เช่น การพูดถึงทฤษฎีโฆษณาชวนเชื่อ เช่น การมุ่งโจมตีตัวบุคคลด้วยวาทกรรมเผด็จการเห็นชัด การพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกลายเป็นความจริง การสร้างสมญานามเพื่อสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู การสร้างภาพแยกฝ่ายถูก-ผิด ขาว-ดำ การบอกข้อมูลที่ถูกมองว่าไม่ครบ มีเรื่องเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับตน เป็นต้น

นี่คือแนวคิดหมอวรงค์ที่นำมาวิจารณ์พรรคการเมืองชังชาติ พยายามทำสงครามมวลชนชวนเชื่อ โฆษณาเพื่อให้เข้าลัทธิ

“ประเทศไทยโชคดีมากครับ ที่ม็อบฮ่องกงล้มเหลว มีพฤติกรรมชังชาติชัดเจน จึงทำให้ก่อกระแสโฆษณาชวนเชื่อในเมืองไทยยากขึ้น ถึงเวลาที่พวกเราต้องตามให้ทัน” นพ.วรงค์กล่าว

หากยังจำได้ กรณีหนุ่ม Civic นักเรียนนอก ที่ใช้คำด่าเหยียดหยามหนุ่มขับกระบะ ก็ยังถูกสุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มองว่านี่คือตัวอย่างของการเสพข้อมูลด้านเดียวจนขาดสติ ถูกจูงจิตผ่านวาทกรรมชังชาติที่กำลังสะพัดราวกับแฟชั่นคนรุ่นใหม่ ทั้งยังบอกว่านี่คืออาการฮ่องเต้ซินโดรมชัดเจน

ราวปลายเดือนตุลาคม นพ.วรงค์เริ่มโพสต์ข้อความระบุชัดเจนเลยว่านายธนาธรคือผู้นำการปลูกฝังลัทธิชังชาติ โดยอ้างว่าไม่เอาสถาบันหลักของชาติ ไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณี ไม่เอาศาสนา ดูถูกคนไทย ดูถูกรัฐธรรมนูญ ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล พร้อมกับเริ่มติดแฮชแท็กต่อต้านลัทธิชังชาติ พร้อมไล่ว่า ถ้าอยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่

ถูกตอบกลับอย่างนิ่มนวลจากปดิพัทธ์ สันติภาดา หรืออ๋อง ส.ส.พิษณุโลก พรรคอนาคตใหม่ ว่า “วาทกรรมที่ยัดเยียดเข้ามาว่าเราชังชาติ ไล่เราออกนอกประเทศ บอกว่า “อยู่ไม่เป็นก็ไม่ต้องอยู่” ไม่ได้ทำให้เราท้อแท้ หวั่นไหว และเลิกราไปแบบที่พวกเขาต้องการ มันเป็นเพียงแค่ทัศนคติของการเมืองเก่าที่กำลังหมดสมัยไปครับ”

จากนั้นสมาชิกอนาคตใหม่หลายคนก็ดาหน้าออกมาตอบโต้ข้อหาชังชาติ

“คนอยู่ไม่เป็นไม่ใช่เป็นคนชังชาติ และเราก็ไม่ได้เป็นคนคลั่งชาติ เรารักชาติพอที่จะยอมรับว่าข้อเสียของชาติมีอะไร และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาพวกนั้น” คือเสียงตอบโต้จากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

“กล่าวหาว่าเราคือศัตรูของชาติ เรายอมไม่ได้เด็ดขาด และยืนยันว่าเราไม่ใช่พวกชังชาติ แต่เราคือคนรักชาติ ชาติที่มีประชาชนอยู่ในนั้น ชาติที่เคารพความเป็นมนุษย์ ชาติที่อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข” คือคำคมจากปิยบุตรโต้เรื่องชังชาติ

หมอวรงค์ยังคงเดินหน้าต่อ สร้างเซอร์ไพรส์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ แล้วมาเปิดตัวกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย มีการจัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ โดยเจ้าตัวออกตัวว่าพรรคนี้เหมาะกับตนเองมากที่สุด จากวันนี้เป็นต้นไปจะเริ่มปฏิบัติการปราบพวกชังชาติ

“เราจะไม่ใช้กำลังสู้กับพวกเขา แต่เราใช้สมอง ใช้ความรู้ และความจริงในการต่อสู้” นพ.วรงค์กล่าว

มีการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันในเวทีเสวนาวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่จัดโดยคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตั้งชื่อหัวข้ออย่างแหลมคมว่า คนชังชาติควรออกจากประเทศไทยหรือไม่ แขกรับเชิญตอนแรก ประกอบด้วยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมการเมือง สองคนนี้มาในฐานะไม่เห็นด้วยกับการใช้คำชังชาติ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม มาในฐานะผู้นิยมใช้คำว่าชังชาติ

เป็นที่น่าเสียดาย ภายหลังนายสนธิญาณแจ้งว่าได้รับหนังสือเชิญแต่ไม่ประสงค์จะไปร่วม อ้างว่าเพราะหัวข้อนำไปสู่เรื่องความเห็น ไม่ใช่การนำเสนอข่าวสารข้อมูลตามไปด้วย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ก็ไม่ปรากฏในงานเช่นกัน

การประกาศตัวว่าจะใช้สมอง ใช้ความรู้ในการต่อสู้ของ นพ.วรงค์ นับเป็นเรื่องที่ดี เพราะวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ให้คำตอบชัดแล้วว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดในการต่อสู้ทางการเมือง วิธีการจะได้ข้อเท็จจริงหรือได้ความรู้ที่ถูกต้อง หนีไม่พ้นที่จะต้องถกเถียง ดังนั้น การพูดคุยแลกเปลี่ยนทางการเมืองเป็นสิ่งที่ดี

ภาวนาให้ในอนาคตมีการแลกเปลี่ยนกันเยอะๆ เจอหน้ากัน ถามกันไปเลยว่าชังชาติมีจริงไหม ทำไมต้องชังชาติ หรือเราแค่รักชาติในจุดยืนที่ต่างกัน เพราะการป้ายคนอื่นว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ นัยยะหนึ่งมันคือการลดการรับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายไปในตัว

ทั้งหมดเพื่อให้วิกฤตคลี่คลาย ไม่ต้องลงท้ายด้วยการใช้กำลังนั่นเอง