ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2560 |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อถึงเวลา รถยนต์พระที่นั่งและขบวนเสด็จพระราชดำเนินลงมาจากเนินถนน จอดนิ่งตรงจุดที่กำหนด
พวกเราทุกคนเตรียมการรับเสด็จเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบแล้ว รู้อย่างเดียวว่าข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ครั้งนี้ให้ดีที่สุดในชีวิต ขอได้อยู่ใกล้พระองค์สักครั้งหนึ่งก็พอแล้ว
และมีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นในขณะนั้นคือ จำนวนผีเสื้อมากมายบินว่อนไปทั่วบริเวณพื้นที่รับเสด็จ ซึ่งก่อนหน้านั้นมีผีเสื้อเพียงไม่กี่ตัว
บรรยากาศเสมือนกับผืนป่าได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ไม่น่าเชื่อว่าทันทีที่พระองค์เสด็จฯ ถึง ทุกอย่างมันฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาหมด ใจของพวกเราฟื้น สัตว์ป่าฟื้น ต้นไม้ฟื้น
สรรพสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นหรือไม่เห็นเหมือนราวกับว่าได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะนี้ข้าพเจ้าก็ได้นั่งคุกเข่ารอในหลวงอยู่ตรงทางลาดที่จะเสด็จพระราชดำเนินเข้าศาลาที่ประทับ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ กว้าง 4.50 ยาว 9.00 เมตร เป็นศาลาที่ตั้งอยู่ริมน้ำตกป่าละอู คุณชนินทร์เดินเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า
“อี่อย่าคำนับนะ ครั้งนี้เป็นที่สุดของชีวิต อี่ต้องลงกราบพระบาทในหลวงเลย” คุณชนินทร์คอยให้กำลังใจ คอยซักซ้อมและบอกพิธีการต่างๆ
และแล้วก็ถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถึงตรงจุดที่ข้าพเจ้านั่งพับเพียบรออยู่ ข้าพเจ้าจึงก้มลงกราบ 1 ครั้ง แล้วลุกขึ้นมาถวายรายงานว่า
“…ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ขอกราบบังคมทูลถวายรายงาน ผลการดำเนินงานของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ณ น้ำตกป่าละอู ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพิจารณา…”
ทั้งหมดคือคำพูดที่พูดออกไปเองโดยที่ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด หรือพูดได้ดีขนาดไหน หลังจากนั้นจึงนำเสด็จพระองค์ไปที่พลับพลาใกล้น้ำตก ซึ่งห่างจากจุดรับเสด็จแรกประมาณ 4 เมตร
โดยระหว่างทางในหลวงตรัสถามข้าพเจ้าว่า
“ทำงานมากี่ปีแล้ว”
ข้าพเจ้าตอบว่า “5 ปี พระพุทธเจ้าข้า”
สำหรับคำราชาศัพท์ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด แต่คุณชนินทร์คอยเน้นย้ำตลอดว่า ให้เข้าไปใกล้ในหลวงให้มากที่สุด ไม่ต้องกลัวหรือเกรงใจใคร เพราะหากในหลวงตรัสถามแล้วและเราไม่ได้ยิน เราก็จะไม่ได้ตอบคำถามของในหลวง ซึ่งเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น ระหว่างการสนทนาถ้าในหลวงตรัสถามให้เราเข้าไปอยู่ใกล้ๆ และเสียงที่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าในประโยคที่สองก็คือ
“คงเหนื่อยมาก”
มันเป็นอะไรที่…เรารับรู้ได้เลยว่า ในหลวงทรงสนพระทัยและห่วงใย คือพอข้าพเจ้าได้ยินคำว่า “คงเหนื่อยมาก” ความรู้สึกมันตื้นตันเข้าไปในหัวใจ และมันคือที่สุดของข้าพเจ้า
ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะคลานต่อไป ในหลวงก็ตรัสถามต่อว่า
“ที่ ฮ. ตกอยู่ตรงไหน”
และนี่คือประโยคที่สาม ที่ทำให้ความรู้สึกของข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่าในหลวงติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่มาตลอด ทั้งในเรื่องความเป็นไปของผืนป่า การอนุรักษ์ และการสูญเสียต่างๆ ข้าพเจ้าจึงทูลตอบว่า
“ห่างจากจุดนี้ไปประมาณ 10 กิโลเมตรแผนที่ และจุดที่พระองค์กำลังประทับอยู่ขณะนี้ห่างจากชายแดนพม่าเพียง 4 กิโลเมตรแผนที่ พระพุทธเจ้าข้า”
ขณะนั้นภายในใจของข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่าในหลวงทรงทราบอยู่แล้วว่าระยะห่างจากชายแดนเท่าไรและอย่างไร เพราะในหลวงคือพระบิดาแห่งแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
ต่อจากนั้นคุณใหม่ก็นำเสด็จไปยังจุดเตรียมการปล่อยสัตว์คืนสู่ป่า โดยกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้คือ การพระราชทานอาหารปลา ซึ่งปลาบริเวณน้ำตกแห่งนี้คือปลาพลวง เป็นปลาประจำถิ่นที่จะว่ายทวนน้ำไปตรงจุดแอ่งน้ำหน้าพลับพลาที่ประทับ และเป็นจุดที่ปลาวางไข่ ซึ่งเป็นต้นน้ำป่าละอูที่มีน้ำตลอดทั้งปี
ในหลวงได้ทรงตักอาหารประทานให้ปลา 3 ช้อน ใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่ที่เตรียมการไว้
ขั้นตอนต่อไปคือการปล่อยสัตว์คืนสู่ป่า เป็นเม่นจำนวน 4 ตัว ซึ่งเป็นสัตว์พื้นถิ่นที่ทางศูนย์เลี้ยงไว้หลังจากการจับกุมผู้ต้องหาที่คดีหมดอายุความหรือพ้นคดีแล้ว ก่อนปล่อย ในหลวงตรัสถามว่า
“ทำอย่างไร”
ข้าพเจ้าจึงกราบทูลตอบว่า
“ต้องกดปุ่มพระพุทธเจ้าข้า”
ซึ่งข้าพเจ้าสำนึกว่าพระองค์ทรงเมตตามากที่ถาม เสมือนจะสอดแทรกการสอนไปด้วยว่าไม่มีใครรอบรู้ไปทุกอย่าง ซึ่งในหลวงทรงทราบอยู่แล้ว
แต่ก็แทรกข้อคิดการสอนเราด้วยการถามว่าต้องทำอย่างไร แม้พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่บางอย่างก็ต้องถามโดยมิได้ถือพระองค์แต่อย่างใด ข้าพเจ้าได้นำเรื่องนี้กลับมาคิดทบทวนว่า ข้าพเจ้าร่ำเรียนจบปริญญาตรี ได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่อยมาจนกระทั่งเป็นข้าราชการ ก็ยังคิดว่าตนเองต้องรู้ดีกว่าผู้อื่นเสมอ แต่ในหลวงก็ทรงสอนเราทางอ้อมในเรื่องของการให้เกียรติถามผู้อื่น
หลังจากนั้นพระองค์ทรงกดปุ่มปล่อยไก่ฟ้าหลังเทา ไก่ป่าตุ้มหูแดง และนกปรอดหัวจุก ซึ่งทั้งหมดเป็นนกของกลางที่สิ้นสุดคดี ข้าพเจ้าได้กราบทูลพระองค์ว่า
“นกพวกนี้เป็นของกลางในการดำเนินคดี แต่คดีสิ้นสุดแล้ว จึงถือโอกาสนี้กราบทูลเชิญให้พระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาได้เป็นอิสระ”
พระองค์ทรงกดปุ่มเปิด ไก่ก็บินออกจากกรงที่ทางศูนย์ห้วยทรายฯ เตรียมไว้
ในขณะนั้นเองที่ข้าพเจ้าได้เห็นคือการแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์ ที่ได้ทอดพระเนตรความเป็นอิสระของนก
ความรู้สึกของข้าพเจ้าในตอนนั้นมีความสุขหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจอย่างท่วมท้น มีทั้งความชื่นใจแทนเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ร่วมกันทำความปลื้มปีติอย่างบอกไม่ถูก ที่ในหลวงทรงมีความสุข และด้วยความตื่นเต้นในระหว่างที่ในหลวงทรงมีพระราชปฏิสันถารกับข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าพูดคำราชาศัพท์ถูกบ้างผิดบ้างไปตลอด แต่พระองค์มิได้ทรงถือสาข้าพเจ้าแต่อย่างใด
ในขณะนั้นคุณใหม่ได้กราบบังคมทูลเชิญให้พระองค์ทอดพระเนตรแผนที่ขอบเขตการดำเนินงานของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในพื้นที่หนึ่งล้านแปดแสนกว่าไร่
ข้าพเจ้าได้กราบบังคมทูลถวายรายงานต่อว่า
“ภาพแรกเป็นภาพการลาดตระเวน ด้วยการเดินเท้าของเจ้าหน้าที่ในป่า โดยในแผนที่จะมีเส้นสีอ่อนจนถึงสีเข้ม ซึ่งเป็นเส้นที่บ่งบอกว่าถ้าจุดไหนเป็นสีเข้ม คือบริเวณที่ทำงานซ้ำบ่อยครั้ง ภาพที่สองเป็นภาพการกระจายตัวของช้างป่า โดยสามารถตรวจสอบได้จากการลาดตระเวน ดูจากรอยเท้าบ้าง จากอุจจาระบ้าง ในแผนที่ก็จะปรากฏเป็นจุดๆ ถ้าจุดสีเข้มแสดงว่ามีการลาดตระเวนถี่ ถ้าสีอ่อนจะมีการลาดตระเวนน้อย ภาพที่สามเป็นภาพแผนที่ภัยคุกคามที่เกิดจากการล่าสัตว์ป่า ลักษณะของแผนที่จะปรากฏเป็นจุดแดงๆ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เกิดจากการล่าสัตว์ป่าเพื่อการยังชีพ การล่าเพื่อค้า และเพื่อเกมกีฬา สีที่ปรากฏเป็นจุดกระจายไปทั่วเพราะเป็นเขตชุมชนที่มีการอยู่อาศัยของกลุ่มชนต่างๆ ภาพต่อไปเป็นแผนที่ของการตัดไม้ทำลายป่า”
หลังจากพระองค์ทอดพระเนตรเสร็จก็ตรัสถามว่า
“มีเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเท่าไร”
ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “300 กว่านายพระพุทธเจ้าข้า”
พระองค์ก็ตรัสถามต่อว่า
“ที่อยู่ในป่านะมีกี่คน”
ซึ่งพระองค์หมายถึงเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนที่เดินเท้าอยู่ในป่า ที่คอยดูแลรักษาสัตว์ป่าและป่าต้นน้ำทั้งหมด ข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า
“มีทั้งหมด 83 คน โดยจะจัดเวรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อยู่ในป่าครั้งละ 3 วัน 5 วัน หรือ 7 วัน ตามภารกิจ หรือตามเส้นทางพระพุทธเจ้าข้า”
และข้าพเจ้าถือโอกาสกราบทูลรายละเอียดต่อไปว่า
“พวกเราเข้าไปครั้งละ 8 ถึง 10 คน มีอาวุธเพียง 3 กระบอก การใช้งานก็ไม่ดีเท่าที่ควร”
พระองค์แย้มพระโอษฐ์ และตรัสว่า
“ก็คงต้องเหนื่อย ขอให้หัวหน้าอดทน”
ซึ่งเป็นพระราชดำรัสครั้งที่สองที่ตรัสกับพวกเราว่าพวกเราต้องเหนื่อย ข้าพเจ้าจึงได้ทูลตอบพระองค์ว่า
“ข้าพระพุทธเจ้า และเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ได้ลำบากและเหนื่อยแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ทุกคนทำตามพระราชดำรัสของพระองค์ที่ให้ไว้เมื่อปี พ.ศ.2522 ว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ดูแลรักษาป่า อย่าให้ใครมาบุกรุกตัดไม้ ถางไร่ ทำไร่ ในป่าต้นน้ำลำธารของแม่น้ำเพชรบุรี”
พระองค์ทรงหันมาแล้วแย้มพระสรวลเบาๆ ก่อนตรัสว่า
“เราให้ไว้ด้วยหรือ”
ตอนนี้ข้าพเจ้ารับรู้ได้ว่า คำว่า “เราให้ไว้ด้วยหรือ” นั้นคือความพอพระราชหฤทัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสไว้แล้วยังมีเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระองค์ ยังคงจดจำพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวได้โดยแม่นยำ และท่องจำจนขึ้นใจ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานทุกคนนั้นจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังสามารถ โดยมีพระองค์เป็นต้นแบบเสมอมา
ต่อจากนั้นในหลวงทรงนิ่งอยู่สัก 5 วินาที ก็ตรัสว่า
“ลำบากนะ คงลำบากมากสินะ ก็คงต้องเหนื่อย ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนอดทน”
นี่คือเสียงที่สะท้อนถึงความรักความห่วงใย ความเป็นพ่อหลวงของคนไทย ที่มีต่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคน คือเสียงที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ทันทีว่า ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ขอพรในหลวงให้คุ้มครองนั้นเป็นจริง ในหลวงทรงรับรู้ทุกเรื่องที่เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงาน