การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หลากไหลท่วมท้นเสียจนเอ่อนอง

นั่งมาด้วยกันอีกครั้งในรถคันเดิม แต่หนนี้ อัมพรเปลี่ยนสลับที่นั่งกับฉัน นังคนแพศยาเชิดหน้าชูคออยู่ข้างคนขับ สำหรับตัวฉัน จ่อมตัวลงเบาะหลังอย่างเงียบเชียบ

ก่อนจะขึ้นรถ ฉันบอกทั้งคู่ว่า เวียนหัว ไม่ใคร่สบายนัก พี่ชุนแสดงความเป็นห่วงทันที กุลีกุจอค้นหายาดมยาหม่อง ร้องขอน้ำดื่มแก้วใหม่ แต่ฉันรีบโบกมือปฏิเสธไป บอกว่าแค่โคลงเคลงมาวูบหนึ่ง ไม่น่าจะมีอะไรมากนัก ให้ดีแล้ว ตอนจะลงจากร้านไหล่เขาไป ให้ฉันเอนหลังสบายๆ หน่อยก็พอ

นังแพศยาแย้งว่า นั่งเบาะหลังยิ่งจะเวียนหัวตอนรถลงเขา หากไม่ถึงนาทีต่อมา หล่อนก็รีบแก้ว่า แต่อาจจะดีก็ได้ ถ้าฉันไม่ต้องมองทาง ให้เอนหลังพิงเบาะหลับตาเสีย

พี่ชุนยังคงมองฉันผ่านกระจกหลังอย่างเอาใจใส่ แม้ขณะก้าวขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย จนกระทั่งรถเคลื่อนออก

 

ทางภูเขาคดเลี้ยวลาดชัน น่าแปลกที่ฉันรู้สึกว่า มันยาวไกลกว่าตอนขึ้นมาเสียอีก ดังจะไม่มีการสิ้นสุด ไม่มีจุดจบลง หรือเพราะในห้วงความรู้สึกของฉันก็อึงอลไปด้วยนานาสารพัน

ไร้จุดจบ ไร้จุดหมาย

ตาใน…ยังหวนนึกถึงถนนอีกสาย อีกครั้ง

 

[เรานั่งกันสองคนบนกระบะหลัง ปราศจากหลังคา

ลมพัดเป่าเส้นผมอัมพรปลิวไสว หล่อนคว้าหนังว้องขึ้นมาเส้นหนึ่งรวบรัดปลายผมไว้ แต่ตามองที่เส้นผมของฉันด้วย

“ผมเริ่มยาวแล้วนี่” อัมพรว่า “เสียแต่ไม่เป็นทรง ถ้าตัดผมเสียหน่อยก็หน้าหมดตาใส…อีขนตางอน”

คำพูดธรรมดาๆ แต่กลับทำให้ฉันร้อนวูบวาบขึ้นมา เสมองไปเสียทางอื่น เห็นอีพี่สร้อยสายกำลังหัวเราะหัวใคร่อยู่กับคนขับ

“…ตกลงเขาดีกันอยู่ใช่มั้ย” เอ่ยปากถามออกไป

อัมพรชะโงกส่องบ้าง

“อือ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เอาแน่กับมันไม่ได้ ผัวมันน่ะ…บทจะดีก็อย่างเทวดา เป็นยักษ์เป็นมารขึ้นมา ใครก็เอาไม่อยู่”

“…ฉันนึกว่า…ตอนเกิดเรื่องพี่โฟแล้ว…เขาจะแตกกันเสียอีก”

“ก็เกือบไป โดนหนักอยู่เหมือนกัน แต่จะไปไหนก็ไม่พ้น คงต้องยอมมันไปก่อน”

“หมายถึงยังไง พี่เธอโดนอะไรบ้างหรือ”

“มันโรคจิต ทำได้ทุกอย่างถ้ามันจะทำ ไว้คงได้เห็นเอง”

“แล้ว…ทำไมถึงยังอยู่กับเขา”

“มึงเลือกอะไรได้บ้างล่ะ อีพี่” อัมพรกลับโยนคำถามมา “ถ้ามึงกำหนดชีวิตตัวเองได้จริงๆ จะมาอยู่กับพวกกูยังงี้รึ?”

……

ฉันหมดคำถามกับอัมพร คงเช่นเดียวกันกับแดดที่ทอแสงลงมาแล้วหายวับไป จนถนนสีเทาข้างหลังดูว่างโล่งไปเรื่อยๆ แล้วรถก็พ้นจากย่านบ้านเรือนผู้คน พุ่งขึ้นบนทางวกเวียนสูง…สูงขึ้นทุกที

สองฟากทางแลเห็นป่าไม้ มีทั้งยอดผลิใหม่และใบแห้งกรอบเหลือง คือปลายฝนต้นหนาวที่เห็นกลุ่มเมฆฝนอยู่ไกลๆ จมูกเริ่มได้กลิ่นชื้นเย็น ความหนาวเข้าปกคลุม

“ฉิบหาย ฝนจะตก” อัมพรแหงนหน้า

รถแล่นขึ้นทางชันกว่าเดิม พร้อมกับหยดเย็นเริ่มตกเปาะแปะลงมา

“อีพี่ มานี่…มาเร็วซี”

ฝนเทลงมา เร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ฉับพลันทันใด เหมือนทั้งโลกปกคลุมด้วยฝ้าหมอกขาว อัมพรดึงอีกที ผ้ายางหนาๆ โปะลงมาคลุมหัวฉันโดยไม่ทันตั้งตัว

“โอ๊ย! หายใจไม่ออก”

อัมพรหัวเราะ และในที่สุด ผ้ายางพลาสติกก็ช่วยอะไรเราไม่ได้

ท่ามฝนหยาดเป็นสาย ใบหน้าอัมพรพร่าเลือน เห็นแต่ผมดำยาวเปียกโชก

……

“เป็นอะไร!” อัมพรโอบแขนรอบตัวฉัน พยายามรั้งตัวไว้ เมื่อเห็นอาการอยู่ไม่สุข

“ของเปียกหมดแล้ว” ฉันพูด ใจห่วงแต่สมุดที่จดบันทึกไว้

หวาดหวั่นสุดใจ มันจะเปียกไปพร้อมข้าวของอื่นๆ หรือไม่

“ไว้ค่อยซื้อใหม่ละกัน…อ้าว! เป็นอะไรอีก หน้าบึ้งหน้างอ”

“ไม่ต้องมายุ่ง!”

“อะไรของมึง อีพี่”

ยิ่งอัมพรทำหน้าไม่เข้าใจ ฉันยิ่งรู้สึกโกรธและน้อยใจมากขึ้นเท่านั้น อัมพรพูดง่ายเพราะว่าไม่ใช่คนเสียของอย่างฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีค่า ใช่ว่าจะคว้าหยิบจากอากาศได้เสียเมื่อไหร่ ใบเขียวใบแดงที่ควักออกไป…

“ก็แล้วจะถามทำไม!” กระชากเสียงเข้าใส่บ้าง

……

อัมพรคือคนน่าชัง หล่อนเป็นคนน่าชังเสมอมา

เหมือนวันที่ฝนตกกระหน่ำวันนั้น ตลอดเวลาที่รถแล่นไปในความเปียกชุ่มโชกหนาวเหน็บ

ยิ่งสูง รถยิ่งช้าลง ไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงปลายทางสักที แล้วหล่อนก็ยื่นหน้าเข้ามา

ฉันตัวแข็งไปหมด…นางปีศาจคว้าคอฉันไว้ จมูกได้กลิ่นแต่ความเหม็นเอียนของผ้ายางหนาเตอะเก่าๆ และหูยินเพียงเสียงฝนตกลงเท่านั้น

…เท่านั้น

เฉกเช่นวันนี้ ที่ปากซึ่งมักพูดแต่คำชั่วช้า ลิ้นน่ารังเกียจเสมือนงูพิษ หล่อนเคยใช้มันมอบบางสิ่งบางอย่างแก่ฉัน

พยายามคว้าไขว่หาอากาศ กลับกลายว่ากำลังจิกเล็บลงบนหัวไหล่หล่อน

จนเส้นผมยุ่งเหยิงสอดสายเข้ามาในซอกนิ้ว ดั่งมีชีวิตจิตใจ

“พอได้แล้ว” นั่นคือเสียงฉัน สั่นสะท้านในม่านฝน

อัมพรดึงผ้ายางออกจากหัวเราทั้งคู่ พร้อมกับฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ปาก ยกมือแตะ มีเลือดติดปลายนิ้วออกมา

เลือดที่มาจากปากหล่อน

“คอยดูเถอะ ไว้จะกัดคืน”

หล่อนกระซิบข้างหูฉัน…]

 

ถ้าคนเราไม่มีความทรงจำ มันจะเป็นยังไงกันนะ ณ วันที่ไม่มีฝนอีกแม้แต่หยดเดียว แต่กลับรู้สึกหนาวขึ้นอีกเรื่อยๆ ข้างในใจ

อยากจะงอตัวขดแขนขาเข้าหากัน ปล่อยหัวขนานพื้นลงไป ไม่อยากคิด ไม่อยากรู้สึก แต่ก็ยังคงรู้สึกอยู่ดี

ฉันคิดว่าตัวเองเกลียดความรู้สึกนี้ เกลียดมาก เกลียดมาตลอด เกลียด…ตลอดมา แต่ว่า ก็ยังต้องอยู่กับความรู้สึกแบบนี้

“พี่ชุนทำงานที่บาร์มานานหรือยังคะ”

ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสองที่เบาะหน้า

“ก็เกือบสามปีแล้วนะ จากทำเสิร์ฟนี่แหละ พี่ถึงพูดได้เต็มที่ว่า มาถึงวันนี้เพราะฝีมือล้วนๆ ทุกวันนี้พี่ก็อยู่ได้ เพราะลูกค้าติดใจ ใครเคยมาก็จะมาอีก”

“เก่งจังเลย” งูพิษหัวเราะหัวใคร่ “ถามนิดได้มั้ย”

ดูเหมือนหล่อนจะจงใจลดเสียงลง

“อะไรฮะ ถามได้สิ”

“…อืม พี่อยู่แบบนั้น น่าจะมีโอกาสเจอคนเยอะ…แล้วทำไมถึง…”

เสียงพี่ชุนหัวเราะเบาๆ

“กับจันทร์เสี้ยวนะหรือ”

“ค่ะ”

ลดเสียงลงอีก

“…เออนะ ยังไงดี พี่เจอคนเยอะก็จริง แต่พี่ไม่เหมือนคนอื่นมั้ง เอาจากใจพี่จริงๆ นะ เจ็บมาเยอะ โดนมาเยอะ ไม่อยากจะพลาดอีกแล้ว พี่เลยไปอธิษฐานกับครูบาศรีวิชัยว่า ถ้าชีวิตมีคนที่ใช่ ขอให้ได้เจอในสามวันเจ็ดวัน แล้วก็เจอเขาเข้าจริงๆ”

“เจอกันยังไงคะ?”

“เขาเขียนจดหมายไปลงหามิตร พี่ไปอ่านเจอเข้าพอดี มันมีอะไรสักอย่างทำให้พี่ประทับใจมาก…รู้สึกจะเป็นกลอนนะ เขาเขียนกลอนเก่งมาก พี่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันคือคนหัวอกเดียวกัน”

“จริงหรือคะพี่”

หูฉันไม่ฝาดหรอก นังปีศาจกำลังขบขัน และหล่อนพยายามกลั้นซ่อนเสียงหัวเราะอยู่

“จริงสิ…เขาเขียนกลอนดีจริงๆ นะ พี่เลยเขียนจดหมายไปหา เขาก็ตอบมาเร็วมาก แล้วคืนก่อนหน้านั้นพี่ฝันเห็นครูบาศรีวิชัยอีก พี่เลยแน่ใจว่าเขามาเป็นเนื้อคู่พี่”

นังปีศาจกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอยู่

“…แล้วพี่รักเขาหรือคะ…รักแรกพบเลยหรือ”

ฉันคิดว่า สิ้นประโยคคำถาม พี่ชุนคงจะตอบอย่างมั่นใจฉาดฉาน ไม่ว่าเป็นอย่างไรในฝั่งของฉัน แต่มันก็ย่อมเป็นคำตอบที่จะดีพอ

แต่…สิ่งที่ฉันได้ยิน กลับเป็นคำพูดอึกอัก

“…ก็รัก”

คราวนี้ มีเสียงหัวเราะของงูพิษเต็มหู

“…เข้าใจค่ะ พี่ยังไม่ต้องพูดก็ได้”

 

เข้าใจ! คนอย่างนังชาติหมาจะเข้าใจอะไร? ในวินาทีที่แม้แต่ตัวฉันก็แทบจะผ่าวชาไปกับสิ่งที่ได้ฟัง

เราทุกคนล้วนต่างความคิด ต่างจิตใจ ใช่สิ ใครจะบังคับใจได้ ไหนจะความมารยาสาไถย ก็มีด้วยกันทุกคนนั่นล่ะ

แต่ว่า…ทำไมคนเราต้องรู้สึกโศกเศร้าจับใจด้วยนะ แม้ว่าจะได้สัมผัสกับ “ความจริง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเป็นควรมี

ทำไมคนเราต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยเล่า หลากไหลท่วมท้นเสียจนเอ่อนอง แม่น้ำสายเดิมที่ซัดสาดเข้าเติมหัวใจทุกห้อง