ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน - 5 ธันวาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | กรองกระแส |
เผยแพร่ |
กรองกระแส
เส้นทาง อนาคตใหม่
บนอุปสรรค ตลอด 2 รายทาง
มุ่งสู่ ‘พรรคมวลชน’
การดำรงอยู่ของพรรคไทยรักไทยถือได้ว่าอันตรายกระทั่งมีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ผ่านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อนำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
การดำรงอยู่ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือว่าอันตราย กระทั่งมีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ผ่านมวลมหาประชาชน กปปส.เพื่อนำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ผ่านการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 มาแล้ว แม้ว่าการดำรงอยู่บนพื้นฐานแห่งชัยชนะจะยังถือว่าเป็นอันตรายอยู่ กระนั้น ผลจากการเลือกตั้งดังกล่าวก็บังเกิดปีศาจตัวใหม่ นั่นก็คือ ชัยชนะจากจำนวน 6.3 ล้านคะแนนเสียงที่พรรคอนาคตใหม่ได้มา
สภาพการณ์ทางการเมืองนับแต่ภายหลังเดือนมีนาคม 2562 คือการรวมศูนย์ทุกสรรพกำลังเพื่อหาทางบดขยี้และทำลายพรรคอนาคตใหม่ ทำลายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ไม่ยอมให้ได้สมาชิกภาพ ส.ส. และอาจขยายผลไปถึงการตัดสิทธิทางการเมือง
แนวโน้มที่สังคมมองเห็นจากการดำเนินคดีต่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คือการบดขยี้และทำลายล้างพรรคอนาคตใหม่เหมือนที่เคยทำลายล้างพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทยมาแล้ว
เพียง 1 ปีของพรรคอนาคตใหม่ก็ตกเป็นเป้าหมายในการทำลายล้างทางการเมือง
ผนังทองแดง
กำแพงเหล็ก
หากการดำรงอยู่ของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ที่ต่อเนื่องมายังพรรคเพื่อไทย คือความสำเร็จจากนโยบายบนพื้นฐานแห่ง “ประชาธิปไตยกินได้” อันเป็นจุดแข็งอย่างมีนัยสำคัญ
ยืนยันการพูดแล้วสามารถปฏิบัติได้ในทางเป็นจริง
ทำให้ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก อันเป็นเกราะคุ้มกันและเป็นพื้นฐานแห่งชัยชนะของพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน พรรคเพื่อไทย คือ 1 นโยบายอันเป็นตัวแทนในทางความคิด 1 คือความเชื่อมั่นที่ดำรงยู่ในความรู้สึกของประชาชน
ทำให้พรรคเพื่อไทยอันเป็นตัวแทนแห่งพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ฆ่าไม่ตาย ทำลายไม่มอดไหม้
พรรคอนาคตใหม่ก็แทบไม่แตกต่างไปจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย
นั่นก็คือ การนำเสนอความคิดที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน คำนึงถึงอำนาจของประชาชน ไม่ว่าจะเรียกว่าคนเท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายที่จะยุติการรัฐประหาร การปฏิรูปกองทัพโดยให้ทหารถอยออกจากการเมือง
คะแนน 6.3 ล้านคะแนนที่พรรคอนาคตใหม่ได้มาในขอบเขตทั่วประเทศสามารถเอาชนะพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา คือเครื่องยืนยัน
แม้จะยังไม่เคยได้เป็นรัฐบาลเหมือนพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยก็ตาม
ปักธง ความคิด
ก้าวเดิน ไปข้างหน้า
ความพยายามอันแน่วแน่ของพรรคอนาคตใหม่คือความพยายามที่จะสร้าง “พรรคมวลชน” อันถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมสำคัญของการเมือง
ทำให้พรรคอนาคตใหม่แตกต่างไปจากพรรคการเมืองอื่น
ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่จะถูกกระแสต่อต้าน กีดกัน เบียดขับ ด้วยกระบวนการต่างๆ ในทางการเมือง แต่พรรคอนาคตใหม่จำเป็นต้องยืนหยัดในหลักการ
การยืนหยัดที่ดีที่สุดก็คือการยืนหยัดด้วยการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
พื้นฐานของพรรคที่สามารถระดมสมาชิกได้มากกว่า 60,000 ถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่ดี ขณะเดียวกันคะแนนที่ได้มามากถึง 6.3 ล้านคะแนนก็ควรเป็นเป้าหมายที่พรรคอนาคตใหม่จะต้องมุ่งไปสร้างความไว้วางใจให้จงได้
หากเมื่อใดพรรคอนาคตใหม่สามารถระดมและสร้างจำนวนสมาชิกได้มากถึง 1 ล้านกว่าคนในขอบเขตทั่วประเทศ นั่นคือรูปธรรมแห่งความสำเร็จ
เป็นความสำเร็จอันสะท้อนความไว้วางใจจากประชาชนจึงจะสมกับสถานะแห่งพรรคมวลชน
ยึดกุม การปฏิบัติ
เป็นบรรทัดฐาน ตรวจสอบ
พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง นักการเมืองคนหนึ่ง จะถือบรรทัดฐานอะไรในการวัดและในการตรวจสอบ จะยึดเอาคำประกาศ คำแถลงการณ์ กระนั้นหรือ
อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่มิได้เป็นปัจจัยในการชี้ขาด
พรรคอนาคตใหม่สามารถออกคำประกาศ ออกคำแถลงการณ์อย่างใดก็ได้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สามารถจะนำเสนอแนวทางอย่างไรก็ได้
แต่สังคมจะชี้วัดว่าเป็นจริงหรือไม่ มุ่งมั่นหรือไม่ ก็จากการปฏิบัติที่เป็นจริง
พรรคอนาคตใหม่อาจเติบใหญ่ในลักษณะใกล้เคียงหรือแนวทางอย่างเดียวกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย แต่จะยืนยันดำรงอยู่ได้เหมือนพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทยได้หรือไม่
การสถาปนา “พรรคมวลชน” ให้บังเกิดคือ “คำตอบ”