ทวีปที่สาบสูญ : พี่จะมาหาน้องอีก โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฉันไม่อยากหวังอะไรอีกแล้วล่ะ นั่นคือสิ่งที่บอกกับตัวเอง เพราะจะหวังสูงหวังสวยแค่ไหน สุดท้ายก็ลงเอยที่เรื่องห่าเหวซ้ำๆ ซากๆ ไม่เคยมีอะไรดีขึ้นมา

เสียใจอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมไม่ตายไปให้พ้นๆ เสียที

จะอยู่ไปเพื่ออะไรกับโลกใบนี้

ฉันพยายามแล้วนะ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะมีชีวิตรอด ฉันทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันตั้งใจทำงาน ฉันตั้งใจเก็บสตางค์ ฉันอยากมีวันที่เป็นอิสระ ได้ทำะไรๆ อย่างใจฝัน

แต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้

แม้แต่นังตัวร้ายอัมพร คนสารเลว ก็ยังทำกับฉัน ไม่ต่างกันกับคนอื่นๆ

เจ็บแสบที่สุดคือฉันเชื่อหล่อนเอง

ฉันทำตัวเอง

ฉันทำผิดพลาดอยู่เสมอด้วยตัวฉันเอง

“น้อง…”

มือที่นุ่มนวลเอื้อมมาจับใบหน้า ในความมืด ป่ายมาเช็ดน้ำตาที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน

“ไปอยู่กรุงเทพฯ กับพี่ แล้วพี่จะส่งน้องเรียนหนังสือ พี่ไม่เคยมีชีวิตแบบนี้เลย พี่สงสารน้องจริงๆ”

 

คําพูดของคนแปลกหน้า ณ เวลานั้น เหมือนสายลมพัดผ่าน เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา อพิโธ่เอ๋ย แค่มาเห็นกันชั่วครั้งชั่วคราว ทำเป็นว่าปรานีมีเมตตา ฉันเจอมานักต่อนักแล้ว ดีกันเท่าไหร่ ก็หวังจะได้ผลประโยชน์คืนเท่านั้น

คนอย่างฉันจะมีอะไรให้ใคร จะตอบแทนอะไรเขาได้ เต็มที่ก็คือแรงกายกับของในหว่างขาเท่านั้น

“คุณอย่าพูดไปเลย” ขยับรั้งตัวเองออก และพูดออกไปเท่าที่ใจคิด “คุณช่วยฉันไม่ได้หรอก”

“ได้สิ” น้ำเสียงฟังเหมือนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“พี่ช่วยน้องได้”

“คุณช่วยฉันแล้วจะได้อะไร”

อีกฝ่ายเงียบ

“…ก็ไม่เห็นจะต้องได้อะไร”

“หึ”

ฉันเลียนเสียงแบบนั้นมาจากใครสักคน…ใครกันนะ อ้ายหมารอยหรือเปล่า เวลาที่มันยักไหล่ ดังว่าไม่แยแสใครทั้งโลกอีกต่อไป

“คุณอย่าเพ้อฝันไปเลย เอาเข้าจริงๆ เดี๋ยวคุณก็ทิ้งฉันเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ”

 

มีแต่ความเงียบที่ปกคลุมเข้ามา เช่นเดียวกับความมืดที่ครอบครองทุกอณูของห้อง พูดออกไปแล้ว ไม่แค่ความมืดตรงหน้า มองไปทางไหนทุกห้วงจิตของฉันก็ไม่อาจเห็นเส้นทางใดอื่น

มีแต่ความตายเท่านั้น จะพาฉันหลุดพ้นได้

แต่ฉันจะทำมันได้หรือ พยายามตั้งกี่ครั้งก็ยังไม่เคยตาย

“…น้องเชื่อพี่สิ พี่หวังดีกับน้องนะ”

“ถ้าคุณอยากช่วยฉันจริงๆ…” ตัดสินใจเอ่ยปากออกไป “คุณหาเชือกให้ฉันสักเส้นสิ แล้วก็รีบไปซะ”

อีกฝ่ายสะดุ้ง ฉันรับรู้จากสัมผัส

“น้องอย่าคิดแบบนี้”

“ฉันคิดดีแล้ว คิดมาตลอดเลย”

“ไม่ได้แล้วล่ะ น้องเครียดมาก…เครียดมากเกินไป”

“หรือไม่ ก็ปล่อยฉันเดินออกไปตอนนี้เลย”

มันมีหน้าผาอยู่ตรงไหนบ้างนะ ข้างร้านกาแฟล่ะ มีจุดที่จะกระโดดลงไปได้มั้ย

“คุณไม่ต้องวุ่นวายกับฉันหรอก”

 

มือที่เอื้อมมากอดฉันอีก คล้ายๆ จะสั่นเทา ราวกับว่าคนที่เปราะบางไม่ใช่ฉัน สักพักหนึ่ง ฉันก็ได้กลิ่นน้ำตา

ฉันคุ้นกับกลิ่นนั้นดี…มันมีลักษณะเฉพาะบางอย่าง เวลาที่หยดน้ำกลั่นออกมาเงียบเชียบจากดวงตา ตลกไปไหม คนที่ร้องไห้อยู่คือฉัน การที่มีคนแปลกหน้ามาร่วมแบ่งปันน้ำตาอยู่ข้างๆ

…มันคืออะไร

แต่ฉันไม่ควรสนใจมันหรอก แค่บางครั้งที่คนเราอ่อนไหว

ชีวิตจริงไม่เคยต้องการแค่คำปลอบใจ

“ปล่อยฉันเถอะ” สลัดตัวออกอีก

“คุณได้รู้ได้เห็นแล้วนี่! พอใจหรือยังล่ะ”

ไม่มีคำพูดโต้ตอบ แต่มือที่ดูแข็งแรงไม่น้อยก็เอื้อมมาโอบฉัน ต่อสู้กันอยู่ในความมืดและเงียบ อีกฝ่ายรั้ง ฉันก็ผลักและดึงตัวออก จนสุดท้าย วงแขนก็คลาย

คนที่ตัวโตกว่าลุกขึ้นจากเตียงสับปะรังเค

“พี่ไม่เคยมาเชียงใหม่เลยนะ รู้มั้ย คิดว่ามันคงเป็นเมืองที่ทำให้พี่สบายใจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอคนอย่างน้องเข้า”

คนอย่างฉันมันเป็นยังไง คนปากกัดตีนถีบอย่างนี้มีอยู่ถมไป เกลื่อนกล่นบนขี้ดินอย่างนี้

พะนาก็เถอะ ชีวิตอาจจะพอๆ กับฉัน

“พี่อกหักน่ะ เลยอยากมาหาที่สงบสักระยะ”

ฟังประโยคที่ตามมา นึกอยากจะแค่นหัวเราะออกมาดังๆ แค่อกหักเลยอยากเที่ยว แต่ทำไมไม่เลือกกลับไปกินข้าวอร่อยๆ นอนที่นอนดีๆ มาอยู่กับฉันอย่างนี้ทำไม

แล้วฉันก็แค่นเสียงออกไปจริงๆ

“น้องหัวเราะทำไม”

“อกหักมันเป็นยังไงเหรอ”

ฉันพอจะรู้ได้จากสัญชาตญาณว่า อีกฝ่ายกำลังจ้องมา

“…ก็…ผิดหวังไง คนที่เรารัก เขาไม่ได้รักเรา”

เหมือนมีเข็มเสียบเข้ามาในหัวใจ…คนที่เรารัก เขาไม่ได้รักเรา…แล้วอย่างฉันตอนนี้ เรียกว่าอกหักด้วยหรือเปล่า

ไม่สิ ฉันไม่ได้รักอีคนนั้น ไม่ได้รักใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“พี่ทนไม่ได้ ไม่อยากอยู่กับความเคยชินเก่าๆ เลยมาเที่ยวคนเดียวที่นี่”

ดีนี่ ถึงอกหักแต่ยังมีทางเลือกในชีวิต ฉันต่างหาก ทางเลือกมีแค่จะอยู่หรือจะตาย แต่แค่ขอตายก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ

“น้อง…” อีกฝ่ายกลับเข้ามาหาอีก

รวบฉันเข้าไปกอดอีก

“พี่ไม่รู้ว่าน้องเจออะไรมาบ้าง แต่พี่สงสารน้องมากเลย พี่ไม่เคยมีชีวิตแบบนี้ ไปอยู่กับพี่เถอะ…พี่จะพาไป”

 

อีพี่สร้อยสายหัวเราะออกมาเต็มเสียง และแค่นตาดูคนตรงหน้าอย่างดูหมิ่นดูแคลน

“โอ้ย พูดเป็นนิทานไปได้ จะพามันไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วย จะไปได้ยังไง้ ติดเงินชั้นไว้เท่าไหร่ ทำงานก้นหม้อยังไม่ทันดำ จะมาหลบลี้หนีหน้า ฝันไปเถอะ ชั้นไม่ให้มันไป!”

คนตัวสูงหน้าเสีย เสื้อขาวดูยับเปื้อน ยกมือเสยผม

“น้องเขาติดเงินคุณไว้เท่าไหร่ จะจ่ายให้”

“จริงรื้อ!” อีพี่สร้อยสายว่า มุมปากยิ้มเยาะหยัน

“กว่าจะหาคนมาทำงานได้ หายากหาเย็น อยากรับคนไปเลี้ยงก็เอาอีพะนาไปสิ”

พะนายืนอยู่เยื้องๆ รีบสั่นหน้ารวดเร็ว

“หนูไม่ไปค่ะ พ่อไม่ให้ไป”

“แหงละสิ!” อีพี่สร้อยสายตอบทันควัน “ใครเขาจะยอมขาดตีนขาดมือ…คุณไปหาเอาข้างหน้าเถอะ อย่ามาแย่งลูกจ้างชั้น”

“ไม่ได้จะเอาไปทำลูกจ้าง”

ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ อีพี่สร้อยสายถลึงตาใส่ฉัน

“กูยิ่งไม่ให้มึงไป อีพี่! เกิดเขาเอามึงไปขาย ไปตกระกำลำบากทีหลัง พี่มึงจะมาหาความกับกู…”

“งั้นเราจะไปแจ้งความว่าคุณกักขังเด็ก”

“หน็อย! ใครกักขังมัน!” อีพี่สร้อยสายขึ้นเสียงทันที ไม่สนใจว่าใครจะผ่านไปผ่านมา แต่อีกไม่นานสวนก็จะเปิดตามเวลาแล้ว

“ผัวชั้นก็เป็นตำรวจ พี่มันชั้นก็รู้จัก อีโฟน่ะหัวหมอจะตายไป! คุณจะเอามันไปเลี้ยงน่ะ คิดดีแล้วหรือเปล่า รู้จักหัวนอนปลายตีนมันมั้ย!”

ยิ่งอีพี่สร้อยสายพูด ฉันยิ่งรู้สึกขมขื่นและอับอาย ฉันบอกกับคนแปลกหน้าแล้วว่า ไม่ต้องพยายามจะช่วยฉัน หากจะให้ฉันได้ ขอแค่เชือกเส้นเดียวเท่านั้น

“คุณรีบๆ ลงไปเถอะ ถ้าไม่ไป เดี๋ยวฉันจะแจ้งยามว่าคุณน่ะบุกรุกมาตั้งแต่เมื่อคืน”

อีพี่สร้อยสายโยนคำขาดเข้าไป

“บ้านมันอยู่ไหน พี่มันเป็นใคร ชั้นรู้จักหมด! คุณล่ะ บ้านอยู่ตรงไหนของกรุงเทพฯ ใครจะรู้จะเห็น ถ้าเอามันไปขายล่องใต้ ใครจะรับผิดชอบ!”

ฉันเหลียวไปมองคนหน้าขาวๆ และบอกให้รู้โดยปราศจากคำพูดว่า ผิดจากที่ฉันบอกไว้หรือเปล่า

ยิ่งถ้าจะเอาฉันไปเลี้ยงดูอุปการะ อีพี่สร้อยสายไม่มีวันยอมให้

นี่มันเป็นขุมนรกของฉัน

ของฉันโดยลำพัง

 

ดอกกุหลาบในสวนยังคงบานสะพรั่ง มีดอกไม้แสนงามทุกหนทุกแห่งในที่อันกว้างใหญ่ แดดส่องแล้ว แต่อากาศยังเย็นจนเกือบหนาว นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยกันเดินขึ้นเนินมา บ้างชี้ชวนกันชมตรงโน้นตรงนี้ มีทั้งคนจูงแขนจูงมือ แต่ที่แน่ๆ ทุกใบหน้าล้วนดูเบิกบานแจ่มใส

สวนดอกไม้ยิ่งดูยิ่งงดงาม เหมือนโลกในความฝัน

แต่มีเพียงฉัน ยืนซอมซ่ออยู่ข้างกอปัตตาเวียนสีแดง ข้างในคือกางเกงในที่ไม่แห้งเสียที โกเต๊กเท่าที่มีคงจะซับเลือดจนแทบจะยุ่ยขาด แต่ฉันยังคงต้องหนีบมันไว้ เลือดตกที่_ี ยังน้อยกว่าที่คั่งอยู่ในหัวใจ

“คุณไปเถอะ” ฉันบอกกับคนที่ยืนข้างหน้า ผมนั้นยุ่ง ใบหน้าดูไม่สบอารมณ์อย่างแรง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “ขอบคุณที่อยากช่วย…แต่ฉันอยู่ได้ ยังไงฉันก็ต้องอยู่”

ถ้าฉันอยู่ไม่ได้ ฉันจะพยายามหาทางไปเอง

“พี่จะกลับมารับ เอาไหม” คนแปลกหน้าโน้มตัวมากระซิบ รู้ว่าอีพี่สร้อยสายยังมองตามอย่างระแวดระวัง “น้องแอบไปกับพี่”

ฉันสบตาคนพูดเป็นครั้งแรก

“น้องกล้าไปไหมล่ะ ถ้ากล้าพี่จะหาทางมาเอาตัว”

ฉันจะกล้าไปไหม ฉันจะไปได้อย่างไร นึกรู้แล้วว่าอีพี่สร้อยสายจะต้องไม่ให้ฉันคลาดสายตา ทางเดียวที่จะไปได้คือต้องออกจากสวนไปในความมืดโดยลำพังยามดึกดื่น

ต้องไปตอนกลางคืน และผ่านพวกยามไป

แต่ฉันจะไปทำไม

คนเคยเห็นหน้าค่าตายังไว้ใจไม่ได้ แล้วคนคนนี้เป็นใคร

“ฉันไปไม่ได้หรอก คุณไปเถอะ”

ฉันตัดบทกับคนตัวสูง…ชื่ออะไรนะ…นล หรือ

“พี่จะมาอีก” แต่คนแปลกหน้า ยังคงรั้นพูดกับฉัน “พี่จะมาหาน้องอีก ไปวันนี้ไม่ได้ ก็ไปวันหลัง”