บทความพิเศษ : ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เรียนรู้คุก (4) ต้อนรับจัดเต็มชูวิทย์

ตอน 1 2 3

เมื่อรถบรรทุกผู้ต้องขังของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พาผมมาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถ.งามวงศ์วาน ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว

หลังจากลงจากรถก็นั่งรอทำประวัติ ตรวจค้น ไม่อนุญาตให้นำของต่างๆ ทุกชนิดเข้าเรือนจำ

บรรดาของที่ผมเตรียมาโชว์ผู้สื่อข่าวพวกขัน สบู่ รวมทั้งบุหรี่ ก็ไม่อนุญาตให้นำเข้า

จากนั้นตรวจสุขภาพ ตรวจฉี่ และส่งตัวเข้าไปที่แดน 1 ซึ่งเป็นแดนแรกรับ

ทันทีที่ผมเหยียบเข้าแดน 1 เสียงของ จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ดังทักทายผมทันที

“มาทำไมเนี่ย ใครให้มา”

ผมตอบจ่าประสิทธิ์ไปว่า “ศาลให้มาน่ะสิ ไม่งั้นใครเขาจะอยากเข้าคุก”

จ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ

จ่าประสิทธิ์ทำหน้าที่อยู่ในโรงเลี้ยงซึ่งผมและผู้ต้องขังคนอื่นๆ ต้องกินข้าวเย็น ซึ่งมีอาหารเป็นข้าวและต้มผัก จากนั้นจึงถูกส่งตัวเข้าห้อง 13 นักโทษใหม่ทุกคนต้องมาเข้าห้องนี้เสียก่อน นอนที่นี่ 1 คืน วันรุ่งขึ้นจึงจับแยกกระจัดกระจายไปอยู่ห้องต่างๆ

ผมถูกจับไปอยู่ห้อง 5 อาจเป็นเพราะเฟซบุ๊กของผม “ชูวิทย์ I”m No.5”

ผมสำรวจตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่แดน 1 นั้นล้วนหน้าตาคุ้นเคยมาตั้งแต่เมื่อ 13 ปีก่อน แถมบางคนยังเคยถูกสอบเรื่องข้าวผัด 5,000 เสียด้วยซ้ำ ทั้งหมดอยู่กันครบจนแทบไม่น่าเชื่อว่าผ่านมา 13 ปีแล้วยังต้องกลับมาเจอกันอีก มีนักโทษคนหนึ่งกระซิบบอกผมว่า

“เขาเตรียมต้อนรับจัดเต็มชูวิทย์ เที่ยวนี้จะเอาให้เข็ด”

ผมได้ยินแล้วรู้สึกเฉยๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่ได้รู้สึกกังวลแต่อย่างใด

สภาพโดยทั่วไปก็ไม่ได้แตกต่างจาก 13 ปีที่แล้ว

คุกก็คือคุกที่จำกัดอิสรภาพของคน อยู่คุกก็ต้องอยู่ให้เป็น

วันนี้ผมเป็นผู้แพ้ก็ต้องปฏิบัติทุกอย่างตามที่กฎระเบียบสั่ง

ผมได้พบกับ “เสด็จพี่” พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และ เกียรติอุดม มีนะสวัสดิ์ ส.ส.เพื่อไทย ที่ถูกคดีหมิ่นศาล

ส่วนจ่าประสิทธิ์นั้นโดนคดี 112 ทั้งสามอยู่ห้อง 11 ด้วยกันทั้งหมด

ห้อง 11 ก็ยังเป็นห้องสำหรับนักโทษ VIP เหมือนแต่ก่อน ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ไปอยู่ห้องนี้หรอก อย่างผมมันเจียมเนื้อเจียมตัว จะให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไป ยิ่งผมแฉเอาไว้เยอะ เมื่อกลับมาอีกในสถานะนักโทษก็ไม่มีทางเลือก

นอกจากทั้งสามคนนี้แล้วยังพบผู้ต้องขังที่ยังไม่ได้ประกันตัวในคดีดังต่างๆ ไม่ว่าโรฮิงญา ค้ามนุษย์ ยูฟัน และนักโทษที่ตัดสินแล้วไม่ว่าคดีกรุงไทย คดี BBC

หลายๆ คนเข้ามาพูดคุยกับผมถึงเรื่องคดีของตัวเอง สภาพการใช้ชีวิตภายในแดน 1 ซึ่งมีบริเวณแค่ 2-3 ไร่ ยากที่จะทำให้กรมราชทัณฑ์ประสบความสำเร็จในการทำให้เหล่านักโทษเป็นคนดีคืนสู่สังคม ด้วยสภาพความคับแคบ นักโทษเดินเพียงสักครู่ก็ทั่วแดน โดยเฉพาะสายตาคนรู้มากอย่างผม

นักโทษอยู่กันเป็นกลุ่มๆ มีความสนิทสนม คนไหนที่รู้น้อย เข้ามาก็รู้มากขึ้น แทนที่จะเป็นคนดีกลับเป็นคนเลวมากขึ้น พอพ้นโทษออกไปก็ไปก่ออาชญากรรมขึ้นอีก

วนเวียนซ้ำซากอยู่แบบนี้

เหตุเพราะการเอานักโทษตั้งแต่โทษไม่กี่เดือนคดีเล็กๆ น้อยๆ มากองสุมรวมกับนักโทษอาชญากรเต็มตัวหรือเป็นอาชญากรโดยกมลสันดาน ก็ยิ่งทำให้เรียนรู้วิถีของอาชญากรมากขึ้น

 

ผมพบกับ ผบ. (ผู้บังคับแดน) 1 นายสายันต์ ขุนปลาด เป็นคนใต้ แกเรียกผมไปพูดคุยปรับทัศนคติ และบอกว่า

“ชูวิทย์ คงจะเข้าใจนะ ทุกๆ ที่มีความไม่เท่าเทียมกันนะ บางทีผู้ใหญ่โทร.หาขอผม ผมก็พูดไม่ออก”

เหตุที่แกพูดแบบนี้เพราะว่าภายในพื้นที่ 2-3 ไร่ มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงผม

เพียงแค่แว้บเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

ตรงไหนมีแอร์

ตรงไหนมีเคเบิลทีวีให้ดู

VIP อยู่กันอย่างไร

ไอ้เป๋อไอ้ป๋องนักโทษไร้ระดับอยู่กันอย่างไร

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้แม้จะมาเพียงไม่กี่วัน

เรื่องแบบนี้สำหรับผมทะลุปรุโปร่ง

แกจึงไม่อยากให้ผมไปพูดหากออกไปเพราะไม่มีใครอยากถูกสอบ

 

แต่ตัวผมนั้นกลับได้อยู่ห้องชั้น 2 ที่ร้อนระอุเพราะอาบแดด แถมต้องขึ้นเรือนนอนตอนบ่าย 3 โมง นั่งอยู่แค่ชั่วโมงเดียวก็เหงื่อเต็มตัวแล้ว

เจ้าหน้าที่ก็พยายามทำอะไรที่ตรงไปตรงมาสำหรับผมอยู่คนเดียว

เขาคงคิดว่าเมื่อผมเป็นคนตรงก็ควรได้รับอะไรที่ตรงๆ แบบนี้

ผมไม่โทษเจ้าหน้าที่หรอก

คงจะจริงอย่างที่เขาว่า มีผู้ใหญ่สั่งมา ส่วนผมมันไม่มีใครสั่งก็เลยเป็นแบบนี้

นี่แหละประเทศไทย

ช่วงเช้า ผมยังได้เห็นเจ้าหน้าที่หิ้วถุงอาหารพะรุงพะรังเข้ามาให้บรรดานักโทษ VIP ทั้งหลาย

ส่วนผมกินข้าวถุงแกงถุงที่สั่งจากร้านค้าสวัสดิการของเรือนจำตามระเบียบเป๊ะ

แต่ไม่ได้นึกน้อยใจอะไรหรอก

เพราะเตรียมใจไว้แล้ว

 

หลังจากอยู่แดน 1 มาได้เดือนกว่าๆ จนสังเกตเห็นว่าใครต่อใครชักจะอึดอัดโดยเฉพาะพวก VIP พร้อมพงศ์เป็นตัวตั้งตัวตีมาพูดให้ผมย้ายไปอยู่ พ.บ. (เรือนพยาบาล) ซึ่งแยกต่างหากออกจากแดนไปจะได้พ้นหูพ้นตา

พร้อมพงศ์เชียร์ผมว่า ที่ พ.บ. ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้

ผมถามแกว่าถ้าดีทำไมไม่ไปอยู่เสียเอง?

ความเป็นจริงคือ การที่ผมได้เห็นความไม่เท่าเทียมทุกวี่ทุกวันทำให้เกิดอาการอึดอัด

ต่อมาผมจึงเสนอตัวเองขอย้ายไปแดน 7 แต่สำหรับผมนั้นอะไรๆ มันก็ยากไปเสียหมด จึงต้องรอวันจำแนกทาส เอ้ย! จำแนกแดน ที่มี ผบ. จากทุกแดน หัวหน้าทุกส่วน ร่วมประชุมนั่งเป็นตัวยู มีผู้บัญชาการอยู่ตรงกลางเป็นประธาน

 AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

คิดดูแล้วก็ตลกดี เมื่อก่อนใส่สูทผูกไท้ยืนพูดกับท่านประธานสภา “กระผม นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

แต่เพียงไม่กี่ปีต้องมารายงานตัวอีกสถานที่หนึ่งด้วยการถอดเสื้อยืนรายงานตัว “กระผม น.ช.ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หมายเลข… คดี…”

ผบ.แดน 7 ชื่อ นายสมชาย มีศรี เคยเป็นพัศดีเวรเมื่อ 13 ปีก่อน และเคยถูกสอบเรื่องเอกสารที่ผมนำเข้ามาเซ็นในช่วงนั้น ทำให้แกไม่ค่อยอยากจะได้ผมไปอยู่แดน 7 เสียเท่าไหร่

เพราะเกรงว่าจะต้องคอยระมัดระวัง เนื่องจากทุกๆ วันผมจะมีเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจเข้ามาเซ็น เช่น เซ็นเช็คจ่าย ฯลฯ ที่ประชุมจึงถกเถียงกันจนไม่ได้ข้อสรุป

คิดดูแล้วผมคงเป็นนักโทษที่ไม่มีใครเขาอยากจะรับไปอยู่แดนของตัวเอง

เหมือนว่ากลัวจะไปรู้ไปเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแล้วจะทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

จริงๆ แล้วหากมีอะไรที่อำนวยความสะดวกสบายและผ่อนปรนผมเสียบ้างก็เท่ากับปิดปากเพราะผมสบายไปด้วย

หากเป็นแบบนี้ผมจะไปพูดอะไรได้

แต่นี่นักโทษคนอื่นได้แล้วผมไม่ได้นี่สิ จะไม่พูดก็ไม่ใช่ชูวิทย์

วันนี้ไม่ใช่วันของผม ผมก็ไม่พูด ติดคุก 2 ปีมันก็ไม่ได้นานเกินไป เผลอแป๊บเดียวก็ออกไปแล้ว และก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

คิดในแง่ดีคือได้มาเก็บข้อมูลในคุกแดนสนธยาที่คนนอกไม่ได้เข้ามาง่ายๆ มีผู้คุมเคยบอกผม

“ชูวิทย์มีเงินไปนอนโรงแรมโอเรียนเต็ลได้นะ แต่นอนคุกไม่ได้”

วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันไหนผมออกไปก็เดินสายให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตความเป็นอยู่ของผม และที่ผมยืนยันได้คือ ผมไม่ต้องการให้ใครมาติดคุก ดังนั้น เรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังจึงไม่มีการแต่งเติมให้เป็นนิยายรันทดเหมือนของคนอื่นเขา

แต่จะเขียนให้เห็นภาพความเป็นไปในคุก สภาพในคุก ในแง่มุมจากสายตาของผมโดยไม่มีอคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เพื่อให้เห็นว่าบรรดาท่านทั้งหลายอย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะอยู่คุกสบาย เพราะหากสูญสิ้นอิสรภาพแล้ว มนุษย์ก็แทบจะไม่เหลืออะไร

และอย่าคิดว่าไม่มีโอกาสเข้าคุก เพราะเท่าที่ผมเห็นมาก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตมาในอดีต พาเหรดกันเข้าคุกโดยไม่คาดฝัน

หรือแม้แต่บางคดีไม่น่าติดคุกก็ดันมาติด

คดีบาร์เบียร์นั้นจึงเป็นปฐมเหตุที่ทำให้ผมต้องติดคุก

แต่ในที่เสียอย่างในคุกก็มีดีที่พอพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเก็บเกี่ยวเป็นประสบการณ์มาเล่าให้ฟังว่า

คนอย่างผมนั้นเคยอยู่ทั้งสีเทาแดนสวรรค์ สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติ ไปจนถึงแดนนรกอย่างในคุก