ฟ้า พูลวรลักษณ์ | ฉันเกิดมาในครอบครัวคนทำโรงหนัง ราชาโรงหนัง แต่ฉันหมดความอยากดูหนังในโรง

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๕๓)

ล่าสุดนี้ เกิดเหตุการณ์ประหลาดหนึ่งขึ้น คือฉันหมดความอยากดูหนังในโรง

ทั้งนี้เพราะ

๑ ฉันไม่มีความสุขในการมองคนที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ บนจอหนัง

๒ ฉันไม่ชอบระบบเสียงในปัจจุบัน ระบบเสียงในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมาก แต่ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ฉันคิดว่าหนังดีหรือไม่ ระบบเสียงไม่จำเป็นต้องมีบทบาทขนาดนั้น มันมากเกินไป เวลาดูหนังปัจจุบัน เวลาดูจบ ฉันจะเหนื่อยล้า รู้สึกไม่เป็นผลดีกับร่างกายของฉัน

๓ ฉันเริ่มคุ้นเคยกับการดู Netflix และ DVD ซึ่งฉันจะหยุดเมื่อไรก็ได้ หยุดพักเข้าห้องน้ำ หรือหยุดดื่มน้ำ หยุดกินอาหาร หยุดพักเขียนหนังสือ หรือหยุดทำธุระอื่นใด หรือแม้แต่หยุดเพื่อจะนอนหลับสักงีบ การหยุดเมื่อไรก็ได้ นี้คือกำไร มันทำให้ฉันดูหนังอย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุข ในขณะที่การดูหนังในโรง ฉันต้องดูจนจบในสองชั่วโมง หยุดพักไม่ได้เลย ซึ่งนับวันที่ผ่านไป ยิ่งมีผลต่อจิตใจของฉัน

๔ ฉันชอบระบบซับไตเติลของ Netflix และ DVD มากกว่า อ่านง่ายกว่า สบายตากว่า

๕ นอกจากนี้ คือบรรยากาศในโรงหนัง ฉันไม่ชอบคนแปลกหน้า ที่เข้าโรงหนังแล้วเล่นโทรศัพท์ ซึ่งทางโรงก็ไม่ได้เอาจริงในการห้ามปราม หรือแม้แต่บรรยากาศก่อนเข้าโรง ฉันก็ไม่ชอบ

การรู้สึกเช่นนี้ คือการหมดยุคการดูหนังในโรงของฉัน ที่แปลกคือเหตุผลสำคัญจริงๆ อยู่ที่สองข้อแรกข้ออื่นเป็นเพียงส่วนประกอบ แต่สองข้อแรก คือหัวใจของหนังในโรง มีมาช้านานแล้ว

การที่ฉันเพิ่งมารู้สึก นี้คือความแปลก และคือสิ้นสุด

เรื่องนี้แปลกสำหรับฉัน เพราะตลอดชีวิตของฉัน ที่จริงแล้วฉันเกิดมาในครอบครัวคนทำโรงหนัง หรือพูดได้ว่าในครอบครัวของราชาโรงหนัง ตั้งแต่เด็ก ฉันจะวิ่งเล่นอยู่แถวโรงวิกเตี้ยและวิกสูง ซึ่งอยู่ที่ตลาดพลู

ต่อมา ฉันก็หลงใหลในเสน่ห์ของโรงหนังอย่างแกรนด์ คิงส์ ควีน โรงหนังเหล่านั้น ช่างมีเสน่ห์อย่างประหลาด อาจเพราะมันอยู่ย่านวังบูรพา ซึ่งเป็นแหล่งแฟชั่นในยุคเก่า

ที่จริงฉันไปหมด บางโรงนานๆ ไปสักครั้ง แต่ก็ประทับใจ ด้วยเพราะมันต่างถิ่นกัน เช่น กรุงเกษม เฉลิมไทย เฉลิมเขตร์ เอ็มไพร์

ต่อมา ฉันจำได้ว่าฉันใช้เวลาไม่ใช่น้อยในโรงหนังแถวไชน่าทาวน์ ได้แก่ โรงเท็กซัส โอเดียน ไซฮ้อ ซินฮั่นจิว หรือเทียนกัวเทียน โรงหนังเหล่านี้ ฉันดูหนังอินเดียและหนังจีนกลาง และบางโรงฉายหนังกวางตุ้งกำลังภายใน ซึ่งฉันชอบ

อีกหลายยุคต่อมา ฉันยังจำโรงเมโทรโปลิส ที่อยู่ในห้างบิ๊กซี ราชดำริ ซึ่งทุกวันนี้ก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว เพราะมันเป็นสถานที่ ฉันชอบไปดูกับคนที่เป็นแฟนปัจจุบันของฉัน แต่สมัยนั้นเรายังไม่ได้เป็นแฟนกันเลย มันจึงซ่อนความหอมหวานบางอย่าง แต่คิดดู มันก็คือ 13 ปีก่อน

อีกหลายยุคต่อมา จนถึงปัจจุบัน ที่ฉันชอบไปดูหนังที่สยามพารากอน หรือเอ็มควอเทียร์ แต่พริบตาเดียว ความรู้สึกของฉันก็สุกงอม

ฉันไม่อยากดูหนังโรงอีกแล้ว

ความรู้สึกของฉันนี้ เป็นฝันร้ายของผู้กำกับฯ ดังหลายคน เช่นของเจมส์ คาเมรอน เขากลัวเสมอว่า วันหนึ่งผู้คนจะไม่อยากดูภาพที่เห็นคนขนาดใหญ่เท่ายักษ์ในจอ หรือต้องมานั่งรวมกับคนแปลกหน้าในห้องมืด มันคือความหวาดระแวง แต่บัดนี้มันเกิดขึ้นกับตัวฉัน แน่ละ ฉันเป็นเพียงแค่ปัจเจกชนคนเดียว คนดูหนังยังมีจำนวนมาก

แต่ปรากฏการณ์นี้เตือนให้ฉันรู้ว่า โลกนี้ได้เปลี่ยนไป

แม้แต่กับคนที่เกิดมาดูหนังเกือบทั้งชีวิตอย่างฉัน ก็ยังเปลี่ยนได้ ไม่มีอะไรจีรังเลย

มองดูหน้าตาดาราแต่ละคน ล้วนแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว มันเร็ว เพราะฉันอยู่นาน คนที่เป็นดาราในสมัยยุคกลางของฉัน ซึ่งตอนนั้นฉันก็เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว พวกเขายังเป็นเด็ก หรือหนุ่มสาว วันนี้พวกเขากลายเป็นคนแก่ ฉันเหมือนเห็นเด็กกลายเป็นคนแก่ต่อหน้า แล้วตัวฉันจะอยู่ได้อย่างไร

วันหนึ่งฉันเดินผ่านวัดชิโนรสารามวรวิหาร ฉันเห็นป้ายประกาศ สอนคนเรียนวิชาโหราศาสตร์ มีเรื่องราวของดวงดาวมากมาย

ฉันนึกสนุก อยากเข้าไปสมัครเรียน ที่จริงฉันไม่เชื่อในศาสตร์เหล่านี้ แต่ตั้งแต่เด็ก ฉันชอบเรียนรู้สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ มันมีวัตถุดิบบางอย่างชวนคิดฝัน แต่ทว่าก่อนจะเข้าไปสมัครเรียน ฉันก็หยุดชะงัก รู้สึกตัวว่า ในวันนี้ ฉันทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันไม่มีเวลา

อีกวันหนึ่งฉันเดินผ่านโรงเรียนสอนภาษาจีนเก่า ที่ฉันเคยเรียนทุกวันอาทิตย์ พวกเขายังเปิดสอนอยู่ แต่ฉันก็รู้สึกตัวเช่นกันว่า ฉันไม่สามารถกลับเข้าไปเรียนอีกได้ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทุกวันอาทิตย์เหมือนเดิมอีกแล้ว

ไม่เพียงภาษาจีน ที่จริงทุกภาษาในโลก สมองของฉันดำมืดเกินกว่าจะเรียนได้ การจะไปฝืนมัน ทำได้ แต่ฉันก็รู้ผลลัพธ์ล่วงหน้า มันไม่คุ้มกัน

น่าประหลาด เวลาหายไปไหน มันหายไปตามวัย หนึ่งวันยาวนานไม่เท่าเดิม หนึ่งอาทิตย์ไม่เหมือนเดิม ยิ่งไม่ต้องคิดว่าหนึ่งปีไม่เท่าเดิม

น่าประหลาด แต่ฉันยังเชื่อในการทำอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง การช่วยตัวเอง ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเคยมีคนไปช่วยตัวอ่อนตัวหนึ่งให้ออกจากดักแด้ ด้วยการเอาไม้ไปเขี่ย ด้วยเพราะเห็นมันกำลังดิ้นรนด้วยความยากลำบาก แต่ก็ยังฝ่าดักแด้ออกมาไม่ได้ แต่การเอาไม้ไปช่วยเขี่ยให้มันออกมา มีผลเป็นตรงกันข้าม เพราะมันออกมาได้ไม่นานก็ตาย

เพราะธรรมชาติต้องการให้ชีวิตต่อสู้ด้วยตัวเอง ฟันผ่าอุปสรรคด้วยตัวเองจนรอด ชีวิตนั้นจึงจะเข้มแข็ง และมีสิทธิในการมีชีวิตอยู่ต่อไป การไปช่วยมัน คือการไปรบกวนระบบธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วจะมีผลเป็นตรงกันข้าม ชีวิตนั้นจะเกิดมาอ่อนแอ และตายไปในที่สุด

เมื่อฉันเดินไปในป่า ฉันจึงระมัดระวังเป็นอันมาก ไม่ไปรบกวนระบบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเกิดจากความหวังดีอันใด เราไม่ควรไปช่วยชีวิตของหนอน ไส้เดือน แมลง มากมายในป่า เพราะเราไม่รู้จริงว่า ระบบของมันคืออะไรกันแน่ การไปรบกวนมัน ให้โทษมากกว่าให้คุณ

ฉันเคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ ที่เล่าถึงมนุษย์ต่างดาวที่มาช่วยมนุษย์ให้ปราศจากสิ่งต่อไปนี้

๑ สงคราม

๒ เชื้อโรค

๓ ความยากจน

๔ ความงมงาย

นำพามนุษย์ให้ก้าวหน้าครั้งใหญ่ ไปสู่ยุคสมัยอุดมคติ

ฉันรับคอนเซ็ปต์แบบนี้ไม่ได้เลย เพราะเห็นชัดเจนว่านี้คือการรบกวนระบบธรรมชาติ เราคือไส้เดือนที่ถูกช่วยมากเกินไป จนเราจะอยู่ต่อไปไม่ได้

ที่จริงเราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเราเองอย่างยากลำบาก เพื่อเอาชนะปัญหาต่างๆ ไม่ว่าราคาที่จ่ายจะแพงเพียงใด เพราะหากเราทำได้ด้วยตัวเอง เราจึงจะเข้มแข็ง เราจึงจะรอด

ฉันจะไม่ทำอะไร หรือทำทุกอย่างที่เป็นพื้นฐาน เริ่มต้นทีละนิด อย่างสงบและเจียมตัว

หัวใจของงานศิลปะ คือความขัดแย้ง

หากสิ้นความขัดแย้ง ก็สิ้นงานศิลปะ

หากคุณเชื่อแล้ววันหนึ่งโลกนี้จะไร้ความขัดแย้ง เท่ากับคุณเชื่อแล้วว่า ศิลปะจะต้องดับสูญไปในอนาคต

แต่หากคุณเชื่อว่าถึงอย่างไรก็จะต้องมีความขัดแย้ง เป็นนิรันดร เท่ากับคุณเชื่อในความไม่ตายของงานศิลปะ