บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ/ใช้ ‘กระบวนการยุติธรรม’ เล่นงานทางการเมือง คือ ‘วาทกรรม’ เอาตัวรอดทางการเมือง

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

ใช้ ‘กระบวนการยุติธรรม’

เล่นงานทางการเมือง

คือ ‘วาทกรรม’ เอาตัวรอดทางการเมือง

 

ที่อเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ และสาวกของเขา กำลังเล่นอยู่กับสโลแกน “หยุดล่าแม่มด” เพื่อขอความเห็นใจจากสาธารณชน ภายหลังจากพรรคเดโมแครตมีมติเริ่มกระบวนการถอดถอนทรัมป์ หลังจากถูกเปิดโปงว่าใช้อำนาจมิชอบด้วยการขอให้ประธานาธิบดียูเครนสอบสวนฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ซึ่งทำงานอยู่กับบริษัทขุดเจาะก๊าซในยูเครน

โจ ไบเดน คือผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของเดโมแครตในการลงชิงชัยประธานาธิบดีกับทรัมป์ในการเลือกตั้งปีหน้า

นอกจากขอให้สอบสวนบุตรของโจ ไบเดน แล้วทรัมป์ยังต้องการให้ยูเครนสอบสวนโจ ไบเดน อีกด้วย โดยมีลักษณะกึ่งบีบบังคับ กล่าวคือ ทรัมป์บอกว่าหากผู้นำยูเครนทำตามก็จะได้รับความช่วยเหลือเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ ถ้าไม่ทำตามก็อด

พฤติกรรมของทรัมป์ น่าเชื่อว่าต้องการสกัดโจ ไบเดน ที่ทำท่าว่าอาจมีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง เพราะโพลจำลองที่ออกมาพบว่า ไบเดนนำทรัมป์อยู่ประมาณ 10%

 

การกระทำของทรัมป์ ซ้ำรอยเรื่องอื้อฉาวเดิมๆ กับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว นั่นคือมีพฤติกรรมดึงต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้งในประเทศเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์

โดยคราวที่แล้วถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับรัสเซียในการจารกรรมข้อมูลของพรรคเดโมแครต แล้วนำมาโจมตีนางฮิลลารี คลินตัน ก่อนการเลือกตั้ง จนในที่สุดทรัมป์พลิกล็อกชนะไปได้

มาครั้งนี้หลักฐานทนโท่มาก ทรัมป์กับสาวกดิ้นกันใหญ่ พากันออกแคมเปญ “หยุดล่าแม่มด” โดยมีการทำเสื้อยืดขายด้วย ทำให้สื่ออเมริกันตั้งคำถามว่า ทรัมป์รู้มั้ยว่า แบบไหนถึงจะเรียกว่าล่าแม่มด เพราะสิ่งที่ทรัมป์ถูกดำเนินการอยู่นั้น ตั้งแต่เรื่องรัสเซียมาจนถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ หากแต่มีพยานหลักฐานชัด ผ่านการสอบพยาน สอบปากคำ สืบสวนสอบสวนอย่างละเอียดด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์

และเป็นไปตามครรลองของกระบวนการยุติธรรม

 

ในเมืองไทย คำว่า “ล่าแม่มด” ในวงการเมือง เกิดขึ้นครั้งแรกในปีนี้กับกรณีของช่อ-พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ หลังจากมีผู้พบหลักฐานว่าเธอโพสต์ภาพและข้อความไม่บังควรต่อในหลวงรัชกาลที่ 9

ซึ่งพรรณิการ์ก็อ้างว่านี่เป็นการล่าแม่มด ซึ่งจุดประสงค์ก็น่าจะเพื่อทำให้สาธารณชนเห็นใจว่าเธอเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นการทำให้ภาพเธอดูดีขึ้น ในขณะที่ผู้ที่เปิดโปงพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเธอเป็นพวกที่ดูเป็นผู้ร้าย

ทั้งที่ความหมายดั้งเดิมของล่าแม่มดนั้น หมายถึงการใส่ร้ายปรักปรำคนอื่นโดยปราศจากหลักฐานของฝ่ายศาสนา และตั้งศาลเตี้ยลงโทษตามใจชอบ เพียงแต่ยุคหลังๆ มานี้กลายมามีความหมายว่าการลงโทษผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง กรณีของช่อนั้นไม่ใช่การใส่ร้าย แต่เธอทำจริงและไม่ใช่การแสดงความเห็นต่างทางการเมือง

เมื่อบุคคลหลักๆ ในพรรคอนาคตใหม่ถูกร้องเรียนในหลายเรื่อง พวกเขาและผู้สนับสนุน อ้างเป็นเสียงเดียวกันว่า ถูกฝ่ายตรงข้าม ใช้ “กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม” เล่นงานผ่านองค์กรอิสระและตุลาการ รวมทั้งศาล

ทำให้หลายคนมึนงงว่า ตกลงแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ ถ้าไม่ต้องการให้ใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแล้วจะให้ใช้อะไร เพราะว่าตอนเกิดรัฐประหาร ยึดอำนาจ พวกเขาก็โวยวายว่าใช้ปืนกับรถถัง ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่ยึดถือหลักนิติรัฐ

นัยของคนเหล่านี้ที่ออกมาโวยวายอ้างว่าถูกฝ่ายตรงข้ามใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเล่นงาน ก็คล้ายจะฟ้องต่อสังคมว่าคดีต่างๆ ที่ถูกร้องเรียนนั้น พวกเขาไม่ได้ทำผิดอะไรแม้แต่น้อย หากแต่ถูกฝ่ายตรงข้ามกลั่นแกล้งเนื่องจากเป็นดาวรุ่งทางการเมือง

 

ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับยุคคุณทักษิณ ที่ใช้วาทกรรมซ้ำๆ บอกกับประชาชนที่เป็นฐานเสียงว่าถูกตุลาการภิวัฒน์เล่นงานเพราะว่าเป็นที่นิยมของประชาชนมากเกินไป แต่ท่ามกลางวาทกรรมนั้น สิ่งที่เลือนหายไปคือ “เนื้อหา” หรือพฤติกรรมอันเป็นที่มาของการถูกดำเนินคดี มีการพยายามปลุกปั่นโมเมว่า มีแต่ซีกทักษิณถูกดำเนินคดี ถูกตัดสินให้ผิด แต่อีกฝ่ายไม่ผิด

เป็นการปลุกปั่นป้อนข้อมูลซ้ำๆ เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมของฐานเสียง นานวันเข้าอารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผลและเนื้อหาสาระ และไม่ฟังแม้แต่ข้อกฎหมาย

เมื่อมีใครวิจารณ์ว่าพรรคอนาคตใหม่คล้ายจะเป็นตัวตายตัวแทนทักษิณ สืบทอดทักษิณ พวกเขามักจะปฏิเสธ แต่นานไปสไตล์หลายอย่างคล้ายทักษิณ โดยเฉพาะเมื่อโดนคดีความ ก็สร้างวาทกรรมประเภท “ถูกฝ่ายมีอำนาจใช้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเล่นงาน” อย่างที่กล่าว

ความหมายของวาทกรรมนี้ของพรรคอนาคตใหม่ น่าจะหมายถึงฝ่ายมีอำนาจพยายามตีความกฎหมายให้เป็นโทษต่อพรรคอนาคตใหม่

บางคดีเห็นชัดว่าเป็นความสะเพร่า ไม่รอบคอบของเจ้าตัว เช่นกรณีโอนหุ้นสื่อ ที่ดูเหมือนพลาดตกม้าตายง่ายๆ ทั้งที่ควรจะรัดกุมให้มากตั้งแต่แรก ไม่สมกับเป็นพรรคที่มีนักกฎหมายขั้นเทพจากฝรั่งเศส เมื่อพลาดแล้วก็พยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่ามีบางคน บางฝ่ายพยายามเล่นงานตัวเอง

หรือกรณีของช่อ พรรณิการ์ ที่มีรายชื่อเป็นผู้บริจาคเงิน 1 ล้านบาทให้กับพรรคอนาคตใหม่ แต่ถูกค้นพบว่าขัดแย้งกับรายได้ของเธอที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ว่ามีรายได้ 8 แสนกว่าบาท/ปี (หักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนแล้วเหลือ 5 แสนกว่าบาท) ทำให้เกิดคำถามว่าเงิน 1 ล้านมาจากไหน

เธอเงียบไปนาน คาดว่าไปตั้งหลัก ก่อนจะออกมาอ้างว่าเป็นเงินของครอบครัว

แต่ก็ถูกตั้งคำถามอีกว่า ถ้าหากเป็นเงินครอบครัว (สมมุติเป็นเงินของบิดาเธอ) ทำไมชื่อผู้บริจาคจึงเป็นเธอ ทำไมไม่ใส่ชื่อคนในครอบครัวเธอไปเลย เพราะผู้บริจาครายอื่นๆ ของพรรคอนาคตใหม่นั้น แม้จะมาจากตระกูลเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน ก็จะมีการใส่ชื่อของแต่ละคนไปเลยอย่างชัดเจน

 

คนรุ่นใหม่ที่อยากสร้างการเมืองใหม่ สร้างตัวอย่างและบรรทัดฐานที่ดี อันดับแรกก็ต้องยอมรับการตรวจสอบตามกติกา ตามรัฐธรรมนูญ จะมาบอกว่ารัฐธรรมนูญนี้เฮงซวย เขียนขึ้นมาเพื่อเล่นงานอนาคตใหม่โดยเฉพาะไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญนี้เขียนขึ้นก่อนตั้งพรรคอนาคตใหม่ เขียนตอนที่ยังไม่รู้ว่าธนาธรจะตั้งพรรคด้วยซ้ำไป

พลาดล้มสะดุดเอง แล้วมาปลุกระดมหวังเอามวลชนเป็นหลังพิง ก็ไม่ต่างจากใช้กฎหมู่มาข่มขู่กระบวนการยุติธรรมและกลไกตรวจสอบนักการเมือง แล้วจะต่างจากการใช้ปืนกับรถถังตรงไหน

ทำบ่อยๆ เข้าจะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบใช้อารมณ์และความรู้สึก ไม่ชอบใช้เหตุผลและสติปัญญา และหนักสุดคือการบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมเสียเอง

ถ้าพรรคอนาคตใหม่และผู้สนับสนุนคิดว่า มีแต่พรรคตัวเองถูกเล่นงาน ลองไปดูกรณีของนางนาที รัชกิจประการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 1 เดือน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมปีนี้ โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี เนื่องจากยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ

ทำให้นางนาทีพลาดตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หลังเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ได้มีการปลุกระดมมวลชน หรือออกแคมเปญ “อยู่ไม่เป็น” อะไรทั้งสิ้น

แม้คนพรรคนี้จะอ้างว่า ไม่ถนัดเอาตัวรอด จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “อยู่ไม่เป็น” แต่ดูจากการปลุกระดมทางโซเชียลมีเดีย นี่ก็เป็นวิธีพยายามเอาตัวรอดชัดๆ