ในประเทศ : ย้อนรอยอุ้ม-ฆ่า “บิลลี่” ดีเอสไอเชือด 6 ข้อหา หน.ชัยวัฒน์-พวกอีก 3 ขึ้นศาลอาญาคดีทุจริตฯ

คดีฆาตกรรม “บิลลี่” พอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย ภายใต้การสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คืบหน้าถึงจุดสำคัญของคดี

11 พฤศจิกายน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอเรียกประชุมทีมพนักงานสอบสวนคดี เพื่อพิจารณาพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบกลาง ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

ต่อมาช่วงบ่ายศาลอนุมัติออกหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับพวกอีก 3 คน ในความผิด 6 ข้อหา

1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

2. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้นและได้กระทำโดยมีอาวุธ

3. ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย

4. ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น และมีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ

5. ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป

6. ร่วมกันโดยทุจริตเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289(4) (7), 309, 310, 337, 340, 340 ตรี ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ

รวมทั้งความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 148, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 123/1 และมาตรา 172

อันเป็นความผิดที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไต่สวนพบมูลความผิดแล้ว

 

นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) ซึ่งอยู่ระหว่างต้อนรับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จ.กาญจนบุรี ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดี

ยืนยันพร้อมให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ไม่กังวล เพราะไม่ได้ทำและไม่รู้เรื่องการฆาตกรรม

12 พฤศจิกายน นายชัยวัฒน์พร้อมพวกทั้ง 3 เข้ามอบตัวกับดีเอสไอ ซึ่งใช้เวลาสอบปากคำกว่า 3 ชั่วโมง

นายชัยวัฒน์และพวกปฏิเสธไม่ขอให้การชั้นพนักงานสอบสวน ขอไปให้การชั้นศาล พนักงานสอบสวนจึงนำผู้ต้องหาทั้ง 4 ส่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ ขออนุมัติฝากขัง ก่อนได้รับการประกันตัว หลักทรัพย์คนละ 800,000 บาท

นายชัยวัฒน์ตั้งข้อสังเกตการทำคดีของดีเอสไอที่รวบรัดเร่งรีบ ภายใน 6 เดือนก็ทราบสาเหตุเรื่องราวทั้งหมด ถึงขนาดขอศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งเป็นศาลที่ชี้ว่าทุจริต ไม่ได้ชี้ว่าผิดคดีอาญาไปฆ่าใคร

พร้อมกล่าวตำหนิสื่อที่เกาะติดเรื่องนี้ว่า สร้างสตอรี่ขึ้นมาจนชีวิตราชการของตนเองและลูกน้องไม่มีที่ยืน

“วันนี้ชีวิตข้าราชการผมต้องมายืนอยู่แบบนี้ ผมคือผู้พิทักษ์ป่าและรักษาป่ามาตลอดชีวิต ทุ่มเทชีวิตและจิตใจเพื่อแผ่นดิน แต่กระแสข่าวที่ออกมาทำให้ตกเป็นจำเลยสังคม โดยเฉพาะโลกโซเชียล ทำกันแบบนี้ ให้ความเป็นธรรมกับผมแค่ไหน

ผมต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมมาตลอด แต่สื่อทำผม ครอบครัว หรือแม้แต่สถาบันของผม เป็นผู้ร้ายในโลกโซเชียล ความผิดชอบชั่วดีใครเป็นคนทำ หลักฐานเป็นอย่างไร เคยนำเสนอหรือไม่”

“ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ใหญ่แค่ไหน ถ้าผมยังยืนอยู่ ผมสอยร่วงทุกคนแน่นอน”

รายงานข่าวเผยว่า วันดังกล่าว นายดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย ได้เดินทางมาให้กำลังใจนายชัยวัฒน์ ลูกน้องเก่าที่เคยร่วมชะตากรรมปราบปรามไม้พะยูงที่ จ.ภูเก็ต

ไม่ได้พูดคุยกัน เพียงแค่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ

 

พ.ต.อไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ยืนยันการออกหมายจับครั้งนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง

จากพยานบุคคลกว่า 100 ปาก พยานวัตถุ ภาพจากกล้องวงจรปิด พยานหลักฐานทางเทคนิค บันทึกการใช้โทรศัพท์ พบว่านายชัยวัฒน์จับกุมบิลลี่ไป แต่ไม่มีหลักฐานการปล่อยตัว ก่อนบิลลี่จะหายตัวไป

นายชัยวัฒน์และพวกยังมีข้อพิพาทกับกลุ่มกะเหรี่ยงในพื้นที่ เป็นคู่กรณีขัดแย้งกันมาตลอด ทั้งปัญหาที่อยู่อาศัย ปัญหาผู้นำชุมชนถูกยิง และข้อมูลจากศาลปกครองสั่งให้ชดใช้บ้านชาวกะเหรี่ยงซึ่งเสียหายจากการถูกเผา

ส่วนทำไมดีเอสไอถึงขออนุมัติหมายจับจากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

เพราะคดีนี้นายชัยวัฒน์ถูกชี้มูลความผิดจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เนื่องจากใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ นำตัวบิลลี่มาคุมขังทั้งที่ไม่มีอำนาจ เป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา

ดีเอสไอยังพบพยานหลักฐานเชื่อได้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว นายชัยวัฒน์และพวกกระทำความผิดอีกหลายข้อกล่าวหา รวมถึงคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยการกักขังหน่วงเหนี่ยว ตามที่ขออนุมัติหมายศาลจับกุม

ดีเอสไอตรวจสอบขอบเขตอำนาจศาลแล้ว ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งกระทำผิดทุจริตและทำความผิดอาญาอื่นๆ ร่วมด้วย คดีก็เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ซึ่งจะใช้หลักพิจารณาคดี

ตามข้อกฎหมายเดียวกับศาลอาญาปกติทุกอย่าง

 

คดีฆาตกรรมบิลลี่เป็นที่สนใจติดตามของสื่อและสังคม โดยเฉพาะการที่นายชัยวัฒน์มีสัมพันธ์ใกล้ชิดนักการเมืองซีกรัฐบาล หลายคนห่วงว่าจะมีการแทรกแซงการทำหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมจะเป็นผู้ตัดสิน ตนจะไปสั่งการหรือก้าวล่วงไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวัตถุพยาน พยานหลักฐาน พยานบุคคล ถ้าผิดก็ว่ากันไปตามผิด ตนไม่ไปช่วยเหลือใครทั้งสิ้น

สอดรับกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่กล่าวถึงเรื่องนี้โดยให้ว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ใครทำอะไรก็ว่าไปตามนั้น

“ต่อจากนี้ผมจะเปิดหน้าต่อสื่อมวลชน ผมไม่กลัวอะไรแล้ว จะเปิดหน้าฉากทุกคน ผมยังสู้อยู่ จะชำแหละแต่ละคนให้ดูว่าแต่ละคนมีแผลอยู่ที่หลังขนาดไหน วันนี้เขาต้องการสอยผมให้ร่วงเท่านั้น” นายชัยวัฒน์ประกาศกร้าวหลังได้รับการประกันตัว

ล่าสุดผ่านรายการ “โหนกระแส” นายชัยวัฒน์เปิดหน้าสู้ตามที่ประกาศ แฉผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังจัดฉากละครบิลลี่หายตัว ก่อนเปลี่ยนมาเป็นคดีฆาตกรรม มุ่งใส่ร้ายตนเองให้ตกเป็นจำเลยสังคมและผู้ต้องหาคดีในที่สุด

“ผมทำหน้าที่ปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับกุมคดีใหญ่ๆ เยอะแยะ เรื่องนี้สำคัญที่สุดคือการไปเหยียบเท้าใคร มันชัดอยู่แล้ว—เขาสั่งได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ไปจับเขา ในลักษณะเรื่องที่ดิน เรื่องรีสอร์ต เรื่องรุกป่า แล้วก็คดีล่าสัตว์ คดีเรื่องสัตว์ป่า”

นายชัยวัฒน์ยังแสดงความเห็นหักล้างดีเอสไอ ทั้งในส่วนของถังที่ใช้เผาทำลายศพและชิ้นส่วนกระดูก ซึ่งนายชัยวัฒน์มั่นใจว่าไม่ใช่กระดูกของบิลลี่

“ผมจะหาเจ้าของกระดูกชิ้นนี้เป็นใคร จะหามาให้ได้—ไม่ใช่อยู่แล้ว ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาหัวเป็นประกัน รู้ข่าวแล้วด้วยว่าเอามาจากไหน เดี๋ยวเจอกัน”

ทั้งที่คดีเพิ่งเริ่มนับหนึ่ง ยังไม่ผ่านอัยการขึ้นสู่ศาล ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างดีเอสไอ กับชัยวัฒน์และพวก

สมเป็นคดีใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจมากที่สุดคดีหนึ่ง