การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เราต่างเป็นเด็กสาวอ่อนเยาว์

มีร้านเล็กๆ อยู่บนไหล่เขา เป็นเพิงมุงหญ้าคา หลังคาทรงหมาแหงน ตั้งเสาด้วยไม้ไผ่ มีโต๊ะเก้าอี้เพียงไม่กี่ตัว พื้นขี้ดินแน่นแข็งจากการถูกเหยียบย่ำซ้ำๆ ในนั้นมีสองผัวเมียกำลังช่วยกันจัดเตรียมสิ่งของอยู่

ยังไม่มีลูกค้าอื่นเข้ามา จอดรถไว้ลานโล่งข้างหน้า แล้วสามคนก็พาเดินขึ้นบันไดดินเตี้ยๆ ไปอีกสองสามขั้น ถึงในร้าน พี่ชุนเลือกเอาโต๊ะหน้าสุด มองเห็นวิวกว้างสุด

ทิวเขาลดหลั่นกันอยู่ไกลๆ เวิ้งฟ้าอยู่บน เวิ้งทุ่งอยู่ล่าง ตามองเบื้องล่างเห็นสีเขียวหลายเฉดสีจากหมู่ไม้ใบหญ้า แปลงนา กับลิบๆ หลังคาบ้านเรือนต่ำใต้

ลมเย็นพัดเข้ามาจนเส้นผมนังแพศยาปลิวน้อยๆ ระใบหน้า ฉันเห็นมากขึ้นว่าพี่ชุนมองดูอย่างเอ็นดูในสายตา

มีความโกรธและขุ่นมัวพุ่งขึ้นมา…ทว่า ไม่ใช่อย่างที่ใครๆ จะคิด

 

“เป็นยังไง! ขายดีมั้ยช่วงนี้”

พี่ชุนตะโกนร้องถามคนในร้านอย่างคุ้นเคย ผู้หญิงโหนกแก้มสูงรีบเงยหน้า

“ก่พอได้อยู่พ่อง…นี่ไปไหนกันมา”

“ตั้งใจพาเขามากินแหละ” พี่ชุนตอบ “วันนี้มีอะไรบ้าง”

“ก็อย่างเก่า จิ๊นลาบแกงอ่อม”

“เขาอยากกินตำส้ม” พี่ชุนบุ้ยบ้ายไปทางอัมพร “ไหนๆ ก็มาทางนี้ เลยว่าแวะที่นี่แหละ มีบะก้วยเต้ดบ้างมั้ย”

“มีๆ เดี๋ยวให้อ้ายเขาเอามา”

พี่ชุนมีสีหน้าพออกพอใจ

“งั้นก็จัดมาเลย มีอะไรก็เอามา ตำส้มนี่…น้องใหม่” หันไปหานังปีศาจ ถามเสียงใส่ใจ “น้องใหม่กินส้มตำแบบไหน เอารสยังไง”

“เผ็ดๆ ค่ะ” ปากแดงตอบ “ตัดหวานสักน้อยก็พอ”

“แล้วน้องล่ะ” พี่ชุนเหลียวหาฉันบ้าง

ใจนึกอยากจะบอกว่า จะกินอะไรก็กินกันไป แต่รู้ว่าถ้าพูดออกไป คงไม่แคล้วจะเรื่องยืดยาวไปอีก จึงตอบเพียงว่า

“สามรสก็ได้พี่ ไม่เปรี้ยวมากก็พอ”

 

อาหารทยอยมาหลังจากนั้น หากเป็นวันอื่นๆ เช่นวันก่อนหน้า ฉันคงจะเพลิดเพลินกับอาหารและบรรยากาศอยู่ไม่น้อย สองผัวเมียดูขยันขันแข็ง เข้าตีนเข้ามือกันดี ตอนที่ยำลาบเป็นตัวผู้ผัว แต่พอตำส้มก็เปลี่ยนเป็นเมีย ครั้นตักแกงอ่อมใส่ถ้วย ผัวก็โรยต้นหอมผักชีใส่ให้

พี่ชุนเองนั่งมองดูคู่ผัวเมียช่วยกันทำงานอย่างพึงพอใจ จนตำส้มมาวางไว้ข้างหน้าแล้วทั้งสองจาน ก็หันมาเล่าว่า

“พี่มากินร้านนี้ตั้งแต่ใครๆ ไม่รู้จัก ของลำทุกอย่าง หรือจะเอาเผ็ดเอาเค็มก็บอกเขาได้”

“มาตั้งอยู่แบบนี้ ขายใครล่ะคะ” อัมพรแทรกถาม

“ข้างหลังมีบ้านคนอยู่” พี่ชุนตอบ “คนทำไร่ทำนาแถวนี้ก็มี คนทางนี้ใช่ว่าจะไม่มีสตางค์กัน เดี๋ยวสักเที่ยงก็จะลัดกันออกมาละ ทั้งมานั่งกิน มาสั่งใส่ถุง”

“นักท่องเที่ยวน่าจะชอบนะคะแบบนี้”

“ชอบสิ พี่เคยพามาหลายคนแล้ว ประทับใจกันไปทุกราย”

“แล้วพี่พามาจากไหนล่ะคะ ไปรู้จักนักท่องเที่ยวได้ยังไง” อัมพรถามเสียงซื่อตาใส

พี่ชุนหัวเราะเบาๆ

“เมื่อก่อนพี่เคยเป็นไกด์ ก็ทำมาหลายอย่างน่ะนะ จนมาเป็นบาร์เทนเดอร์นี่แหละ”

“อ้าว ไม่ใช่บาร์เทนดี้หรือคะ”

“ไม่ๆ พี่ไม่ใช่ดี้”

แล้วสองคนก็หัวเราะกัน

ฉันฟังบทสนทนาเหล่านั้นด้วยหัวอกพลุ่งพล่าน ถึงอาหารจะส่งกลิ่นหอมยวนยั่วเพียงใด ไหนจะอากาศที่สดชื่นแจ่มใส มองทางใดก็เห็นแดดเห็นเงา ใบไม้ไหวพลิกระริกเหลื่อมแสง แต่ดั่งนรกแกล้ง ที่ก้องสะท้อนข้างในคือบทกวีที่เคยเขียนไว้ ที่นังชาติหมาท่องออกมาไม่อายปาก

 

[ผืนฟ้าหน้าฝน

ช่างหมองหม่นจนใจหาย

ฉันดิ้นรนใฝ่ฝันนั้นมากมาย

แต่สุดท้ายความหวังก็พังภินท์

 

ต่อสู้มรสุมที่รุมเร้า

หวังเอาความดีดับทุกข์สิ้น…]

 

ฉันเขียนบทกวีนี้ด้วยการจดจำทีละคำ ละวรรค รวมกันเป็นท่อนอยู่ในสมอง เหมือนอีกหลายบทในช่วงชีวิตผ่านมา

และเมื่อมีโอกาสได้มีกระดาษปากกา ก็ถ่ายทอดออกมาจดไว้

บทนี้…ยังเป็นบทที่มีความหมาย เพราะฉันคัดมันลงในจดหมาย โดยตั้งใจเขียนถึงชื่นใจเท่านั้น

[ชื่นใจ ฉันเบื่อสภาพที่เป็นอยู่นี้เหลือเกิน ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นโรงปลาทูนั่น อู่เฮียสมพงศ์ จนมาถึงที่นี่ อีกไม่นานฉันก็จะอายุขึ้นสิบสาม เธอก็คงใกล้สิบสี่ ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็ดีเหมือนกัน อัมพรเพิ่งมาอวดฉันว่าจะเต็มสิบหกในอีกไม่นานนี้ อีกหน่อยจะมีบัตรประชาชนแล้ว

อัมพรว่าถ้าไม่มีโอกาสทำงานในบ้านพักผู้พิพากษา หากมีบัตร แฟนจะพาไปสมัครงานที่กรุงเทพฯ คนที่มีบัตรจะได้กินเงินเดือน แต่ถ้าไม่มีบัตรต้องรับรายวันเท่านั้น ไม่รู้จริงเท็จยังไง น่าสนใจไม่น้อย

แต่ฉันฟังๆ ไปเท่านั้น จะไปหวังอะไรกับเขาได้ ไม่รู้จักใครที่โน่นสักคน

…เอาเถอะ ฉันแค่บ่นให้เธอฟัง ไม่รู้จะระบายกับใคร ก็ได้แต่หวังว่าทุกๆ ตัวอักษรของฉันจะถ่ายทอดให้เธอได้รับรู้ ทุกๆ สิ่งที่ฉันรู้สึก

อ้อ…วันนี้ฉันเขียนกลอนได้อีกบทแล้วนะ ฉันจะคัดมาให้เธออ่าน…

…ต่อสู้มรสุมที่รุมเร้า

หวังเอาความดีดับทุกข์สิ้น…

ไม่ยอมช้าเหมือนน้ำใสที่ไหลริน

หากผกผินเผ่นโผนโจนทะยาน

ท้องฟ้ากว้างมองทางไหนใจเหว่ว้า

เหมือนสนามเข่นฆ่าประหัตประหาร

ฉันยังอ่อนยังด้อยประสบการณ์

จึงพบพานจึงชอกช้ำนองน้ำตา…

หากจะเปรียบฉันคงเป็นเช่นนกน้อย

ที่บินเหลิงเริงลอยอยู่บนฟ้า

ถูกลมบนพัดปีกหักตกลงมา

ถูกเขารุมประณามว่าและซ้ำเติม

ในเมื่อสิ่งที่ฉันฝันและหวัง

มันมาพังแต่ครั้งยังริเริ่ม

ก็สิ้นแล้วกำลังหวังต่อเติม

ปล่อยใจให้เหมือนเดิมคือเย็นชา…]

แล้วไม่ใช่นังชาติหมาหน้าวอกคนนี้หรอกหรือ ที่ตะแบงปฏิเสธทุกอย่าง

 

[“อย่ามาลักอ่านเชียวนะ!” เมื่อฉันขึ้นเสียงใส่

“โฮ้ย กูไม่อ่านให้เสียเวลาหรอก” คนวอกเคยขึ้นเสียงกลับ

“เรียนจบหกมาได้ก็ขี้อ่อนขี้แก่ กูจะอ่านตัวหนังสือมึงให้เจ็บหัวไปทำไม!”

แล้วอีกไม่นานต่อจากนั้น…

“…มึงแอบอ่านสมุดกูทำไม!”

จวนตัวแล้วเท่านั้น จึงยอมรับอย่างเสียไม่ได้

“…เออ! กูลักอ่าน แต่อ่านไปได้หน่อยเดียว มึงเขียนกลอนเก่งดีนี่”

“มึงว่าอะไรนะ”

“กูว่ามึงก็เขียนกลอนม่วนดี…แล้วมึงตีกูทำไม อีชาติหมา!”

…จนกระทั่งพบกันอีกครั้ง นังคนสับปะหลี้ ก็ยังตีหน้าซื่อ

“เธอแอบอ่านสมุดของฉันจริงๆ ด้วย”

“อะไรนะ”

“เธอแอบอ่านสมุดบันทึกของฉัน!…เธอมันคนขี้โกหก นิสัยเลวทรามต่ำช้า!”

“อะไร แค่นั้นก็ด่ากูยังกับหมูกับหมา…เออ ยอมรับก็ได้ เพราะกูเคยอ่านกลอนของมึงนั่นแหละ อีพี่ ถึงได้ตั้งใจว่า ถ้าเจอมึงอีก…กูจะอยู่กับมึงดีๆ จะไม่ให้เหมือนเดิมอีกแล้ว”

 

กูจะอยู่กับมึงดีๆ จะไม่ให้เหมือนเดิมอีกแล้ว… กูจะอยู่กับมึงดีๆ จะไม่ให้เหมือนเดิมอีกแล้ว…คำพูดซ้ำเก่าเมื่อเอามาทบทวน ยิ่งแน่ชัดว่าไม่ควรไว้ใจคนลิ้นสองแฉกอย่างหล่อน

คนอย่างหล่อน ที่เคยแม้แต่จะโอบแขนรอบคอฉัน

“ฟังสิอีพี่”

วันที่มีผัวเมียตาบอดขับขานบทเพลงข้างถนน บทเพลงที่กรีดเข้าไปถึงกลางใจ แล้วหล่อนร้องคลอตามไป

“…อย่าท้าเมื่อเห็นคนล้ม อย่าสมน้ำหน้าคนเซ่อ เคราะห์ร้ายคราวเราเล่าเออ เราอาจจะเจอกับความเจ็บใจ…

“…คนถึงมีความชั่วเจ็ดหน ความดีของคนมีน้อยเมื่อไหร่ คนล้มแล้วอาจจะฟื้น คนยืนอาจล้มก็ได้…”

“มันเหมือนชีวิตคนอย่างเรา มึงว่ามั้ย” ใครหน้าไหนที่พูดกับฉัน

“กูชอบมันร้องเพลงจริงๆ นั่นเพลงโปรดกูเลยนะ มึงเคยฟังหรือเปล่า…ใครที่คิดว่าตัวเองอยู่สูงส่งนัก สักวันเฮอะ มันต้องได้ลงมาคลุกขี้ดินบ้างล่ะ…ส่วนกูกับมึง เราต้องไม่ยอมแพ้นะอีพี่”

มือที่เคยจับสิ่งของสารพัน จูงข้อมือฉันอีกด้วย

“ถ้าวันหนึ่งได้ดี จะได้หัวเราะเยาะพวกมันดังๆ”

“…หัวเราะเยาะใคร” ฉันถามอย่างโง่เง่า

“ใครก็ตามแหละที่มันทำเลวกับมึงกับกูไง”

หึ แล้วใคร…ใครที่ทำแต่เรื่องชั่วร้ายแสนเลว ก็คือตัวฉันกับตัวมัน แม้แต่ยามนี้ที่หวนกลับมาพบกัน ยิ่งใบหน้าของพี่ชุนดูกระจ่างใสในแสงสว่างเพียงใด ฉันยิ่งตระหนักได้ว่า อัมพรกับฉันมีเพียงความมืดเท่านั้นเคลือบทาบฉาบทา มีแต่ความมืดเกลือกกลั้วตัวเราสองเสมอมา

ดูเพียงยามหล่อนปั้นหน้า และฉันเองก็วางท่า…ทำเสมือนว่าเราต่างเป็นเด็กสาวอ่อนเยาว์ ให้ปู๊เมียอีกคนหนึ่งเต็มอกเต็มใจเลี้ยงข้าว กระตือรือร้นจะป้อนอาหารให้เราทั้งสอง